Monday, October 26, 2009

กล้องที่โทรออกได้ กับ เอสเต้ + อื่นๆ อีกนิดนึง

วีคเอนด์ที่ผ่านมาครอบครัวเราก็อีทเอ๊าท์ตลอด แล้วก็ไปช้อปปิ้ง-ช้อปเปี้ยงเล็กๆ น้อยๆ โน่นนี่นิดหน่อย นอกนั้นก็นอนดูทีวีขี้เกียจอยู่บ้านกันพร้อมหน้า อันแรกที่จะเอามาอวดคือ โทสับใหม่ของอิชั้นค่า Sony Ericsson C905a ที่มีกล้อง 8.1-megapixel น่าจะเรียกว่ากล้องที่มีโทรศัพท์มากกว่าโทรศัพท์มือถือที่มีกล้อง เพราะกล้องทำงานแบบฟูลอ๊อพชั่นเลย กว่าจะเปลี่ยนเป็นอันนี้ก็ส่งอีเมวไปถามไถ่เอทีแอนด์ทีถึง 3 ครั้ง 3 ครา คือเซ่อๆ บ้าๆ นึกคำถามออกทีละ 2-3 ข้อ 55555 ตอนแรกก็บอกเค้าไปว่า อยากเปลี่ยโทสับแล้วแต่ไม่รู้จะเอาแบบไหนดี ก็สนใจไอ้รุ่นนี้ อิชั้นไม่ใช้เน็ทบนมือถือ (เพราะเน็ทที่บ้านเปิดเกือบจะตลอดวันตลอดคืน) อิชั้นไม่แชท ไม่ text messaging ไม่เอา full keyboard (ไอ้แบล๊คเบอรี่-ก็ต้องตัดไป) ไม่โน่นไม่นี่ ก็ร่าย…ยาว บอกเค้าไปอีกว่า life style ของอิชั้นเป็นแบบนี้ แบบนี้นะ need PDA and sometimes need camera too (เวลาลืมกล้อง) เพราะตารางหาหมอ ตารางรับส่งลูก กิจกรรมลูก เมื่อก่อนพก PDA พกโน่นนี่มากมายใส่คานหาบแบกหามรอบตัวดูไปมาคล้ายๆ แรมโบ้หญิง แล้วไอ้ไอโฟนที่เห่อๆ กัน ไม่อยู่ในห้วงฟามคิดของอิชั้นเลย เพราะมีลูกมือซน ทัชสกรีนนี่ต้องห้าม แถมโสหุ้ยอีไอโฟนเนี่ย แพงนิ แล้วประกันไม่คัฟเว่อร์ด้วย (อันนี้สำมะคันมากๆ) คือไม่อะไรเลยกับไอโฟน ก็เมวกันกลับไปกลับมา ยังงงสงสัย ไหงอิเบ๊อะไม่โทรไปคุยกะเค้าซะให้จบๆ เสร็จๆ 5555 คนเราก็บ้าเน้อ… สรุปว่ามือถืออันนี้เหมาะเจาะกับอิชั้นที่สุด

page-458 

พอดีไปเจอซองมือถือใส่กันได้พอดีเป๊ะๆ ในกะบะเคลียแร๊นซ์ เลยลากมาซะด้วยราคา 2 เหรียญ แถมด้านในบุผ้าสีริ้วๆ เหมือนmulti stripe ของ  Paul Smith ซะยังไงยังงั้น 55555 อยากบอกเพื่อนๆ ซึ่งรู้ๆ กันอยู่ว่าเมื่อก่อนอิชั้นน่ะเป็นสุดยอดเจ้าแม่ gadgets เลย แต่เดี๋ยวนี้นะ “โล-เทค” สุดๆ 555 เซ่อซ่า บ้าบอมากๆ ปัญญาทึบจริงๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ยากจัง อะไรที่ complicate มากๆ ก็จะกลายสภาพเป็นก้อนหินไร้ประโยชน์ไปเลย เพราะอิชั้นจะไม่แตะไม่ต้อง แล้วพอ cannot utilized อะไร-สิ่งนั้นก็จะสูญค่าไปเลยจริงๆ นะ พอจะซื้ออะไรก็เลยต้อง study หนักๆ หน่อย 555 ยิ่งแก่ก็ยิ่งเซ่อแล้วยังจู้จี้จุกจิกด้วย กร๊ากกก….มีใครเป็นเหมือนอิชั้นกันบ้างหรือป่าว…. อย่ามาบอกนะว่า ยัง sharp & chop chop กันดีอยู่ 5555 อย่ามา “กอหอก” ก๊านนน…

ต่อมาเป็น เอสเต้ล๊อตล่าสุด หลังจากเลิกรากันไปพักนึง นอกใจเอสเต้ไปหาพอลล่า 5555 แต่ด้วยของแถมยั่วใจมากๆ อดรนทนไม่ได้ ค่าส่งฟรีด้วย เลยเอากะเค้าซะหน่อย มาดูกันค่ะ

page-461 

ที่ซื้อก็คือพาเลตทาตา สีเรียบร้อยดี และโฟมล้างหน้า (จะไม่กล่าวถึง เพราะ เป็นยาสามัญประจำบ้านมานานมากแล้ว) อายชาโด้ว์ของเอสเต้ เม็ดสีจะไม่ค่อยสะใจ แต่ถ้าใช้ primer ก็โอเคทีเดียวค่ะ คราวนี้มาดูของแถมกัน ขวดเงินจิ๋วนั่นเป็นของแถมที่ปลื้มมากตลอดกาล Re-Nutriv Ultimate Lifting Serum “รี-นูทีฟ” เป็นเซ็ตที่ราคามหาโหดของเอสเต้ แต่ก็มี (ขนาดทดลอง) ไว้ใช้เรื่อยมา ส่วนมากจะได้แบบครีมกระปุก นานๆ จะได้ซีรั่มซะที ชอบเซ็ตนี้แต่ไม่เคยซื้อใช้ค่ะ เพราะ “บ่อจี๊” 5555 ตานี้ก็มาถึง Nutritious Vita-Mineral Loose Powder Makeup SPF 15 ยังไม่ได้ลองเลย ดูเหมือนสีจะคล้ำไปนิด (มี MMU ฟูลไซ้ส์ของ Prescriptives อยู่ 1 กระปุก ใช้แล้วเฉยๆ ไม่กรี๊ด วี๊ด บึ้ม ใช้ก็ได้-ไม่ใช้ก็ได้ ไม่อะไรเลยกับ MMU มีความรู้สึกส่วนตัวว่าใช้ MMU แล้วดูรูขุมขนโดดเด่นชัดเจนมากกก… Idealist หรือ เบสใดๆ ก็ช่วยไม่ได้) ตานี้มาถึงไอ้ตัวเจ้าปัญหา Pure Color Lip Candy Bar มา มะ มาดูกัน

page-462

แพ๊คเกจชนะใจอย่างแรง เป็นพลาสติกแบบตันๆ จริงๆ อิชั้นมีเพียวคัลเล่อร์แบบฟูลไซ้ส์อยู่ในครอบครอง 3 สีแล้วค่ะ ชอบตรงที่เนื้อบางเบา แต่สีเด่นชัด และแพ๊คเกจลูกเต๋าหนักแน่นดี เห็นของแถมอันนี้เลยต้องจัดซื้อจัดหามาครอบครองซะหน่อย พอได้ของมาก็แงะ แกะ แคะ หาวิธีเปิดไอ้เจ้าช่องใส่แปรง ด้วยที่เซ่อซ่า เล็บเลยไปจิกเอาเนื้อลิปสติกสีเข้มนั่นเข้า แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็ใช้มันอยู่ดีเน๊าะ

page-463

ต่อมาเป็นรองเท้าคู่ใหม่ ตอนซื้อซะมีบ่นนิดนึง “ซื้ออีกแระ เพิ่งซื้อไปไม่นานก็คล้ายๆ คู่นี้” ก็สวนไป ไม่เมื๊อน…. ไม่เหมือนเฟ้ย คนละยี่ห้อ แต่เป็น Wedge & Pump และสีดำเหมือนกันเท่านั้นเอง 5555 พี่แกก็บ่นไปงั้นแหละ คุณเมียอยากได้ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายอยู่ดี 5555 คู่นี้เป็นยี่ห้อ Michael Kors ตรงที่ห้มส้นเป็นวัสดุเหมือนยาง ซึ่งน่าจะไม่ขูดขีด ลอก หรือขาดได้ง่ายๆ ถ้าขับรถส้นกับหนังที่หุ้มส้นก็คงไม่พังเสียหาย (จริงๆ รองเท้าทั้งหมดของดิฉันสภาพเนี๊ยบตลอดกาล เพราะรักรองเท้ายิ่งชีพค่ะ) ส่วนวัสดุตัว upper เป็นหนัง suede สีดำเมี่ยม (สะใจ) ใส่แล้วเดินสบาย ไม่ “ดุ” กัดแหลก แต่จริงๆ ยังไม่รู้หรอก เพราะเดินอยู่ในบ้านเพื่อ break-in เฉยๆ ยังไม่ได้ใส่ไปแต๊ดแต๋ที่ไหนนอกบ้านเลย8jt ขอให้เชื่อง ขอให้เชื่อง เถิ้ดดดดดด….

page-459 

อันนี้เป็น Coach ใบใหม่ของอิชั้น มันคือ Coach Bonnie Canvas Tote (Fuchsia & Orange) สีแอ๋นแต๋นถูกใจมากๆ อยากได้ อยากได้มานานมาก มันเป็นคอลเล็คชั่นที่ออกมาประมาณต้น Spring 2009 ออกมาไม่นานก็หายหน้าหายตาไป ไม่ค่อยนิยมกันเท่าไหร่ ตกไปอยู่ตาม outlet ต่าง แต่อิชั้นโชคร้าย ไม่มีเอ๊าท์เล๊ตไหนอยู่ใกล้ๆ ในรัศมี 300 ไมล์เลยค่ะ ก็หมดใจไปแล้วหล่ะกะนังชมพูแอ๋นเนี่ย เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณเพื่อน (สุมนา) ไปแต๋นที่มเซี่ส์ โทรมาบอก เห็นมีใบนึง เกาะไว้ เหนี่ยวไว้ กลัวคนอื่นคว้าไป แล้วก็กลัวอิชั้นจะไม่รับสายแทบแย่ เสียงตามสายของคุณเพื่อน (ที่แสนดี) แว๊ดมาว่า ยัง fonding นัง Bonnie นี่อยู่หรือป่าว เค้า clearance ที่ Macy’s อิชั้นก็รีบแว๊ดกลับไป ลากคอนังบอนนี่มาเลยจ้า จากราคาเต็ม $298 ลดเหลือ $89.40 แล้วลดพิเศษอีก 15% บวก TAX กลับมาคืนอีก 8.975 % ไปคิดกันเอาเองท่านผู้ชม อิชั้นอ่อน match 555555 พอได้รับคุณกระเป๋ามาก็พินิจพิเคราะห์ด้านนอกด้านในดูเนี๊ยบเรียบร้อยดี กระเป๋าใบนี้ค่อนข้างหนัก ดูจุดีด้วย บ้าหอบฟางอย่างอิชั้นขนอะไรใส่เข้าไปได้เยอะเชียว แต่ไม่ยักกะแถมไม้คาน จะได้หาบไปมาสะดวกขึ้น 555 ด้านหน้ามีช่องกระเป๋า kiss-lock frame เล็กๆ ประดับอยู่ มันจิ๋วเดียว ไม่น่าจะเอาอะไรใส่หรอกค่ะ ด้านข้างก็มีช่องกระเป๋า turn-lock gusset ทั้งสองด้าน ส่วนด้านหลัง มี small slip pocket ด้วยค่ะ ขอตินิดนึงตรงที่ไม่มีซิปปิดด้านบน main compartment ลูกๆ อิชั้น มันชอบเทกระเป๋าแม่เวลามันหาข้าวของน่ะค่ะ น่าตี (+ตื้บ) กันจริงๆ ให้ตายเถอะ…ฆ่าาาา…

page-460

ส่วนเจ้าสะพายแล่งนี่ต้องรองเพลง ไม่ได้เจตนา ไม่ได้เจตนา ล้า ลา ลา …. ไม่ได้เจตนาซื้อใบเล็กๆ นี่เลยค่ะ พอคุณเพื่อนโทรกลับมาอีกว่า เฮ้ย เอาใบลูกมันหรือป่าว ก็ถามกลับไปว่าคุณลูกใบไหน (พูดมาเถอะ รู้จักโม้ดดด….ทุกลูก) พอคุณเพื่อนบอกว่าเป็นแบบสะพายแล่ง และคิดว่าอิชั้นน่าจะซื้อให้ลูกสาว เพราะปกติจะชอบใช้ของเหมือนๆ กันอยู่แล้ว ก็ตอบคุณเพื่อนไปว่า โอเคเลย ลากคอลูกมันมาด้วย เจ้า Coach Bonnie Swingpack Crossbody อันนี้ก็ "โล๊ะ-ราคา” จาก $168 ลดเหลือ $50.40 แล้วลดพิเศษอีก 15% บวก TAX กลับมาคืนอีก 8.975 % เช่นกัน กระเป๋าใบนี้กระทัดรัดใช้สะพายพาดตัวเพื่อความสะดวกมือไม้ทั้ง 2 ยังอยู่ครบ หรือในวันที่มีธุระเบาๆ ก็จะสะดวกมาก อย่างเช่น..ไปแต๋นตามคาสิโน 5555 (นานทีปีหนค่ะถึงได้ไปกะใครเค้า พูดเหมือนเซียน ฮิฮิ)  ด้านหลังของกระเป๋ามี กระเป๋า kiss-lock frame และ small slip pocket ส่วนด้านในกระเป๋าไม่มีช่องอะไรทั้งนั้นค่ะ

งานนี้ต้องขอบคุณคุณเพื่อนอย่างมากกกกกกก….. แต๊งส์ นะคะ คุณเพื่อน 

Friday, October 16, 2009

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน

โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัดๆ

“Good things come in pair” ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก “ความไม่รู้” ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

แฝดที่ดี

เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย

2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ

3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

4) วิตามินเอ ซี และอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

แฝดที่ร้าย

แฝด ตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิว สวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริม โรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

ทั้ง แฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมากซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อยๆเป็นตอนต่อไปในคอลัมนี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับและท่านจำไป ใช้ประโยชน์ได้ทันที

เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบเอาร่วมยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะแล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหนแล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่าตูข้ากินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้น มีข้อหยุมหยิมอยู่มากเมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกัน เป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า “ไม่ใช่” แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ

*** นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ drkrisda@gmail.com

ขอขอบคุณที่มาค่ะ > > http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091016/81518/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99.html

Monday, October 12, 2009

วิธีดื่มน้ำ จากคุณหมอ‏ (เหวิดเมว..อีกอัน..ที่น่าอ่าน)

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

  1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
  2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
  3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
  4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
  5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น


เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สูตรคือ

(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ

ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด เข้าเส้นเลือด

เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ

ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ) หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป

แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น มีสองเหตุผลครับ

หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามินสารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย

เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน


มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่าน กรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ


ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

 

* * * * * เป็น forward mail อันนึงที่อิชั้นอ่านแล้วอยากบอกต่อ (หลายๆ อัน เห็นจั่วหัว ก็ไม่อยากอ่าน และไม่อ่านเลย เยอะมากกกก….5555) แต่เหวิดเมวอันนี้เค้าไม่เครดิตชื่อคุณหมอผู้เขียน เหวิดกันไปเรื่อย ถ้าคุณหมอมาอ่านเจอก็ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้นะคะ… * _/\_ * _/\_ * _/\_ * _/\_ * _/\_ *

ทศพร

Friday, October 02, 2009

Drive-Thru Flu Shots

เมื่อวานนี้ไปฉีด Flu Vaccine (Influenza Immunization) หรือ Seasonal Flu Vaccine จริงๆ ก็ฉีดทุกปีแหละ แต่ไปฉีดตามคลีนิคหรือฟาร์มาซีตลอด ถ้าฉีดตามคลีนิคก็ไม่ต้องทำอะไร เค้าเดินเรื่อง billing & claim กันเอง แต่ถ้าฉีดตามฟาร์มาซี-ต้องเสียตังค์เอง แล้วไปเบิกคืนจากประกันที่หลัง เป็นชาติแหละกว่าจะได้ตังค์คืน บางปีก็ลืมเคลมประกัน ปีนี้เลยจดจ้องข่าว County Public Health's Free Drive Thru Flu Shot Clinic มา 2-3 วีคแล้ว ปีก่อนก็พลาดไปที ปีนี้อิชั้นไม่พลาดแน่ๆ จริงๆ มันเพิ่งมีบริการแบบนี้มาไม่กี่ปีมั๊ง ไม่แน่ใจเพราะของฟรีบางอย่างก็ “แหวะ” มากๆ ถ้าต้องไปแออัดยัดเยียดเบียดเสียดเพื่อแย่งกัน อิชั้นก็จะ ถอยดีกว่า ม่ายอาวววว…ดีกว่า เพราะแถวนี้คนเม๊กซิกันที่เข้าเมืองผิดกฏหมายเยอะมากกกกกก…. เวลามีอะไรฟรีก็เดาได้เลยว่าพวกนี้ต้องโห่มาเป็นร้อยๆ ลูกเต้าสกปรก ขี้มูกยืด อิชั้นก็กลัวบุตรธิดาของอิชั้นจะติดโรคที่เค้าลือกันว่าเกือบสาบสูญไปจากโลกนี้ มันคือ TB - Tuberculosis (tubercle bacillus) วัณโรคนี่น่ากลัวมากเน๊าะ ไอ้พวกนี้แหละที่ bring it back to life 5555 แล้วมีลืออีกว่า… พวกนี้เป็นทีบีกันเยอะ ส่วนไอ้ไข้หวัดหมู H1N1 ก็ต้นตอมาจากเมืองคนยากในเม๊กซิโก แล้วก็ระบาดลุกลามไปทั่วพื้นปฐพี ไอ้พวกนี้ก็เลยเอาเข้ามาเผื่อแผ่ซะด้วย ระบาดเหนือจดใต้แคลิฟอร์เนียหลายสิบเคส ได้ยินมาว่าแถวๆ นี้ก็มีอยู่ 4-5 เคส

การไปรับวัคซีนคราวนี้เป็นการขับรถเข้าไปแบบ Drive Thru บริการมาที่รถเลย ไม่ต้องเปิดประตูออกไปนอกรถ 5555 เปลี่ยนเกียร์ไปที่ P แล้วใส่เบรคมือ เจ้าหน้าที่ก็มายิงให้ที่หน้าต่างเลย ประทับใจมากๆ (แล้วก็มั่นใจได้ว่าพวกที่กล่าวถึงข้างบน…มันไม่มาเกะกะแน่ๆ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีรถราใช้กัน 555) เห็นมีคนนึงขี่จักรยานมาเข้าคิวกระดื๊บนี่ด้วย ก็ขี่คร่อมไว้ แล้วเอาเท้ายันพื้นเลื้อยตามเค้าไป โชคดีที่อากาศไม่ร้อน ประมาณ 70°F กำลังสบายเชียว แล้ว breezy หน่อยๆ ด้วย อีตาคนนั้นก็เลยดูสบายๆ ตามอากาศไปด้วย

page-1

พอขับรถเข้าไปในบริเวณที่ให้บริการ รถเยอะเลยว่ะค่ะ ขับเข้าแถวไปเรื่อยๆ เห็นฝั่งตรงข้ามในลานจอดรถเค้ากำลังทิ่ม แทงกัน บางคันก็มีเจ้าหน้าที่รุมทั้ง 4 หน้าต่างเลย เพราะบรรทุกมาเต็มลำ 555 ก็ขับรถกระดื๊บๆ ตามๆ เค้าไป คิดว่าสุดลานจอดรถที่ปลายตาโน่นก็จะได้ขับวนมาเข้าแถว 4 แถวที่เห็น พอกระดื๊บไปจนสุดลานจอดรถ โอ มาย บุ๊ดด้า…. รถอีกเป็นร้อยๆ เห็นอยู่ลิบๆ โน่น เกือบถอดใจ แต่เข้าแถวมาแล้วแตกแถวออกไปไหนไม่ได้ เสียเวลาคืบคลานตั้งนานกว่าจะมาถึงตรงนี้ คุณตำรวจก็โบกๆ ให้ตามตูดเค้าไป ตานี้ก็แตกเป็น 2 แถว คลานตามกันไปช้าๆ รอบ Fairground ลูกชายอิชั้นที่ต้องเอาติดมาด้วยเพราะไม่รู้จะเอามันไปทิ้งไว้ที่ไหน 555 พ่อคุณก็เริ่มหงุดหงิด ไม่ได้เตรียมอะไรให้ลูกไปกินไปเล่นในรถด้วยสิ แล้วไอ้บริการนี่ก็มีแค่แป๊บเดียว 9.30 –11.00 พอลูกเริ่มงี่เง่า อิแม่ก็หงุดหงิด แถมไม่ได้ขับรถค่อยๆ คลานเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ มานานมากแล้ว เหยียบเบรค เลียเบรค ชักเมื่อยวุ๊ย จะหันไปเอนเทอร์เทนลูกก็ลำบาก เดี๋ยวจะไปทิ่มดากอีแคดิแล๊คข้างหน้าเข้า ก็เลยชวนลูกคุย ดูรถราทั้งหลาย ชี้โบ๊ชี้เช๊กันไปเรื่อย เมื่อยขนาดดดดด……. สรุปว่าไปขับรถเหยียบเบรคอยู่นั่น 1 ชั่วโมงเป๊ะๆ เลย

page-2

ในที่สุดก็วนมาจนถึงตรงที่เค้าให้แยกเป็น 4 แถว ก็คลานตามๆ เค้าต่อไป แต่เริ่มมีเจ้าหน้าที่และ volunteers มาทักทาย แจกเอกสารสารพัดที่ละใบ 2 ใบ ป้าคนถัดไปมานับว่ามีกี่คนที่ต้องฉีด (หมายถึงฉีดตรงนี้ได้ ถ้าอายุต่ำกว่า 12 และเกิน 65 ต้องไปพบแพทย์และฉีดตามคลีนิค ไอ้ตี้ก็รอดตัวไป แต่ต้องพาลูกไปฉีดแหละ) คนต่อมาก็ให้กรอกชื่อ เซ็นชื่อ คนต่อไปเอากล่องรับบริจาคขอรับบริจาค ก็เลยหยอดไป 5 เหรียญ ไปฉีดตามคลีนิคก็หลายตังค์อยู่ 3-40 เหมือนกัน (มีอยู่ปีนึงไปลองของใหม่ เป็นวัคซีนแบบพ่นจมูก nasal-spray flu vaccine กัน 3 คน ตอนนั้นไอ้ตี้ยังไม่มาจุติ 555 นั่นฟาดเข้าไปคนละ 79 เหรียญเชียว แถมอิแม่มันลืมเคลมประกัน อิพ่อมันก็ลืมถาม ใบเสร็จเหน็บตรงโน้น ยัดตรงนี้ เนิ่นนานเข้าก็ลืม หาไม่เจอ ปีนั้นก็เข้าเนื้อไป) พอถึงปราการด่านสุดท้าย เจ้าหน้าที่มาแบบพร้อม มือนึงถือเข็ม อีกมือนึงถึงแผ่น L-ก-ฮ (Alcohol Swab) หน้าตาไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ บอกให้เอาแขนห้อยลงข้างตัวแล้วรีแล๊กซ์ แล้วเธอก็เช็ดปุ๊บ ทิ่มปั๊บ จบ เสร็จ ขับรถวนออกมาแบบงงๆ เสร็จแระ 555 (ลืมถ่ายรูปซะนี่ เพราะตั้งแต่ถึงตอนเริ่มมีคนมาแจกเอกสารต่างๆ มากันแบบไม่ทิ้งช่วงให้หายใจเลยแหละ บูมๆๆ Done! Bye Bye! อดถ่ายรูปมาอวดเลย)

แล้วต้นพฤศจิกายนจะมีวัคซีน H1N1 มาให้บริการแบบนี้อีก ดูข่าวเมื่อคืน แคลิฟฯ เพิ่งได้มาแค่ 1.5 ล้าน shots ก็ต้องแจกจ่ายไปตามเคาน์ตี้ต่างๆ ให้ทั่วถึง แล้วทุ่งกุลาที่อิชั้นอยู่จะได้แบ่งมาเท่าไหร่วะเนี่ย เอาวะ จะจดจ้องติดตามข่าว เค้ามีให้ฉีดเมื่อไหร่ อิชั้นก็จะไปในทันใดเลยเชียว คงต้องพาลูกๆ ฉีดที่คลีนิค ส่วนอีซะมีไม่ต้องห่วง เพราะมีบริการฟรีไป “เสย” ที่ทำงานเลย 5555

ถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต อะไรที่ไม่เคย ก็ไปลองซะจะได้เคย 5555 เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง