Sunday, November 29, 2009

Happy Thanksgiving ย้อนหลัง

มาแล้ว มาแล้ว มาแร้วววววววววว… ยังเหนื่อยๆ เซ็งๆ อยู่ค่ะ จะมาเล่าเรื่องวุ่นๆ ยุ่งๆ ช่วงเทศกาลแต๊งส์กีฟวิ่งให้ฟัง เอาเป็นฉากๆ เลยเน๊าะ

เริ่มจาก วันศุกร์ (20) ขณะที่กำลังวุ่นวายเตรียมตัวออกไปรับอาหารเพื่อไปส่งให้อีซะมีที่ที่ทำงาน ไอ้ตี้วิ่งๆๆๆ (มันเดินไม่เป็น เวลาวิ่งก็ฟูลสปีดด้วยนะ) แล้วไปลื่นหัวฟาดพื้นอย่างแรง พื้นตรง Hallway เป็นพื้นกระเบื้องด้วยสิ เป็นเพราะไอ้ตี้เองแหละ มันชอบไปกดชักโครกเล่น ดึงกระดาษเช็ดตูดโยนใส่โถส้วมแล้วก็กด ทำอยู่อย่างนั้นจนหมดม้วนมันถึงจะเลิก โดนตีไม่รู้เท่าไหร่…ก็ไม่เข็ด แล้วไอ้ส้วมบ้าเนี่ยก็ชอบค้าง ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็นไปยกฝาออกแล้วปลดลูกลอยที่พับค้างอยู่ น้ำก็จะไหลอยู่ในถังไม่หยุด บ่นๆๆ ซ่อมเองบ้างแล้วก็พอโอเค แม่กับพี่ใช้ได้ไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่ไอ้ตี้ชอบกดแล้วกดค้างเอาไว้ ตานี้ไม่รู้มันไปเล่นกดส้วมนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่…คงนานมากแหละ เพราะน้ำไหลท่วมถ้นล้นถัง (ถังนะคะไม่ใช่โถ…น้ำสะอาด…ไม่แหวะๆ) น้ำนองท่วมเข้าไปทุกห้อง พรมแต่ละห้องที่ใกล้ๆ ประตูเปียกปอนหมด

ตอนที่ไอ้ตี้ลื่นล้ม หัวด้านหลังตรงทุยๆ น่ะ ฟาดลงที่พื้นอย่างแรง มันร้องกรี๊ด อิแม่ก็มือไม้สั่น ลูกร้องเพราะเจ็บปวดไม่ใช่งอแงงี่เง่า ถ้าร้องแบบนั้นรู้แกวกันดีอยู่แล้ว รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออก เช็ดหัวเช็ดหู โห….. มันแดงม่วงเป็นวงใหญ่เลยตรงที่ฟาดลงกับพื้น แต่ไม่ปูดโน กลัวว่าจะเป็น concussion กับข้าวก็ต้องไปรับ-ไปส่งอีก ลูกก็เจ็บอีก อยากตายยยย… ก็รีบแหกไปรับกับข้าวซะให้เสร็จๆ พอส่งกันเสร็จ ก็ไม่พูดไม่จาห้อไปโรงบาลเด็กเลย 30 ไมล์ แม่ขับแค่อึดใจเดียว ให้พี่มันพยายามชวนน้องคุยตลอด ไอ้ดื้อก็อยากจะหลับ ชักเงียบๆ เครียดๆๆๆๆ

พอถึงโรงบาล (ไม่อยากไปเล้ย…ให้ตายสิ เพราะแถวๆ นี้มีเด็กเป็น swine flu –H1N1 กันอยู่ไม่น้อย เฮ้อ….) ก็รอไม่นาน พยาบาลก็เรียกเข้าไปซักถามอาการ เจ้าหน้าที่อีกคนซักถามเรื่องประกันและการชำระเงิน แล้วก็ออกมานั่งรอ คราวนี้รอเง่กกกก…. ไปอีกเกือบชั่วโมง เค้าก็มาอันเชิญเข้าไปรอในห้องตรวจ รอกันอีกเป็นชั่วโมง หมอเข้ามาก็ตรวจถี่ถ้วนดี แล้วบอกว่าไม่อยากทำ MRI เพราะยังเล็กนัก รังสีที่ใช้มันเยอะ แต่ถ้าหากจำเป็นก็จะต้องทำ อยากให้รอดูอาการคืนนี้ก่อน เค้าก็เช็คหู หัว จมูก ปาก ไม่มีเลือดไหล หัวไม่โน แต่รอยแดงช้ำชัดเจน หมอยังบอกว่าถ้ามันเป็น concussion คงไม่ดื้อซนร่าเริงอย่างตอนที่เค้าตรวจหรอก แล้วไอ้ตี้ก็เกิดตัวอุ่นๆ หมอก็สั่งให้พยาบาลเอายามาป้อน มันถ่มถุยซะ เรียกว่าเข้าถึงท้องมันไม่ถึง 1 ใน 4 เรื่องป้อนยาไอ้ตี้นี่ ต้องบอกว่า โคตรยากเลย ไม่เหมือนรอมมี่ตอนเล็กๆ ง่ายดาย น่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ มามีฤทธิ์ก็ตอนโต แหงะ

page-484

สรุปว่าหมอนิมนต์ให้กลับบ้านกัน สั่งกำชับให้จับตาดูมันเยอะแยะ ไปดูตรง Emergency signs ข้างล่างโน่นเลยค่ะ ก็บอกถ้ามันร้องเพราะปวดหัวแบบไม่เลิกไม่หยุด อ้วก ม่านตาดูไม่ปกติ เบลอๆ เอ๋อๆ ก็ให้รีบพากลับมาโรงบาล ถ้ามันหลับก็ให้หลับไป แต่คอยปลุกทุกๆ 2 ชั่วโมง ดูว่ามัน disorient หรือป่าว หากมีอะไรดูไม่ชอบมาพากลก็ให้กลับไปโรงบาล รอเค้าทำตามลำดับ พยาบาลก็เอารีลีสฟอร์มมาให้ ใช้เวลานั่งรออย่างบ้าคลั่งที่โรงบาลนานเป็นปกติ เราไปถึงโรงบาลกันประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ กลับถึงบ้านก็เที่ยงคืนพอดีๆ อิพ่อมันก็โทรเข้ามือถือทุกๆ 15 นาทีเลยเชียว

Concussion

A concussion is a brain injury that may result in a bad headache. altered levels of alertness, or unconsciousness.

Symptoms

A concussion results from a significant blow to the head. Symptoms can range from mild to severe. They can include:

  • Headache
  • Altered level of consciousness (drowsy, hard to arouse, or similar changes)
  • Loss of consciousness
  • Memory loss (amnesia) of events surrounding the injury

Emergency signs:

  • Changes in alertness and consciousness
  • Convulsions
  • Muscle weakness on one or both sides
  • Persistent confusion
  • Persistent unconsciousness (coma)
  • Repeated vomiting
  • Unequal pupils
  • Unusual eye movements
  • Walking problems

พอกลับถึงบ้านก็แบกลูกฝ่าความหนาวเหน็บเข้าบ้านเพราะมันหลับคร่อกอยู่ (ระยะนี้อากาศเย็นมากแล้ว กลางวันก็ประมาณ 50-60°F กลางคืนก็ 30-35°F) นั่งเฝ้ากันไป จนรุ่งเช้า มันก็ตื่นมาดื้อซนได้ตามปกติ แต่ความห่วงและกังวลไม่ได้ลดลงเลยแหละ รอยช้ำก็ยังชัดเจนอยู่ พอตกค่ำ (วันเสาร์ 21) อยู่ๆ ไอ้ตี้ก็มีเลือดกำเดาพรั่งพรูออกมา มากกกกกก…. มากมายกว่าปกติเยอะ ไหลอยู่นานมาก ทำยังไงก็ไม่หยุด เอาถุงโคลแพ๊คประคบ ทิชชู่แดงเทือกเต็มพื้น เสื้อผ้าทั้งของแม่ของลูกเปื้อนไปหมด แต่ซักพักใหญ่ๆ ก็หายไป โทรไปโรงบาลเด็กอีก ว่าเอาไงดี คำตอบคือ “แล้วแต่” ถ้าวอรี่ก็เอากลับมาให้หมอตรวจดู เป็นคำตอบที่เทรนมาให้เซฟตัวเองเซฟโรงบาลใช่ป่าว… ไอ้วอรี่น่ะวอรี่อยู่แล้ว ก็เลยบอกไปว่า เดี๋ยวกุขอสังเกตอาการลูกกุอีกซัก 1 ชั่วโมง ถ้าดูโอเค ก็ไม่พาไป ก็..เออๆๆๆ…จบ สุดท้ายก็ไม่ได้พาไป แต่แม่กับพ่อก็จ้องหน้ากันแบบ… เราตัดสินใจถูกหรือป่าววะ ไม่อยากจะมา regret กันที่หลัง แต่ก็ดูกันไปก่อนละกัน ไอ้ตี้ก็ดื้อซนได้ตามปกติในวันต่อๆ มา พอวันอาทิตย์ (22) ก็ต้องพาอิรอมไปส่งบ้านย่า เพราะมันจะไปแต๊งส์กีฟวิ่งกะอีแวว (Valerie - น้องซะมี) ที่บ้านบนเขา Pine Mountain Lake ได้ข่าวว่าสโนว์แล้ว จริงๆ ก็ไม่อยากให้ไป เพราะรอมมี่โตแล้ว เรียกหาให้ช่วยหยิบจับอะไรได้เยอะแล้ว น้องไม่ค่อยสบายแบบนี้ด้วยสิ แต่จะไปก็ไป เพราะเห็นว่าวางแผนกันนานแล้ว

พอรุ่งเช้าวันจันทร์ (23)อิชั้นก็ต้องไปทำ CT Scan ตรวจคุณมดของอิชั้นด้วย โอ้ยยย…ประสบการณ์ใหม่ เรื่องเยอะ เดี๋ยวไว้เขียนเป็นเรื่องเดี่ยวๆ ให้อ่านที่หลังละกันนะคะ

อิชั้นกับไอ้ตี้ก็อยู่โยงที่บ้านกัน 2 คน เพราะอิพ่อมันทำงานทุกวัน พอเที่ยงคืนวันพุธ (25) ไอ้ตี้ก็เริ่มอ้วก ลูกดูเงียบๆ ซึมๆ มาตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา ก็ดีๆ ดื้อๆ แหละ คิดว่าลูกเงียบๆ ไป เพราะเหงา-พี่ไม่อยู่บ้าน ไม่ได้รบราฆ่าแกงกับพี่ จากที่มันเป็นคนกินยาก กลายเป็นไม่ยอมกินอะไรทั้งวัน พอกินอะไรก็อ้วก ไข้ก็ไม่มี อิชั้นก็ทุรนทุราย อยากจะบ้า รออิซะมีกลับถึงบ้าน ก็ค่อยอุ่นใจนิดนึง (นิดนึงจริงๆ นะ เพราะอิบ้านี่ไม่ช่วยอะไรมากหรอก ก็แค่รับฟัง อยู่ใกล้ๆ พอให้อุ่นใจ นั่งเฝ้าลูก ช่วยหยิบโน่นนี่บ้าง ก็แค่นั้น) ไอ้ตี้ก็อ้วกไม่หยุด กลัวลูกจะ dehydrate พยายามให้ลูกดื่ม 7-up บ้าง น้ำบ้าง เป็นว่าดื่มอะไรก็พุ่งออกมาหมด แล้วเวลาอ้วกก็แบบพุ่งเลยนะ น่ากลัวมากๆ ดูแลกันจนตี 4 อิชั้นก็แบบ ไม่ไหวแล้ว จะพาลูกไปโรงบาล อิพ่อมันก็ไปไม่ได้อีก เพราะต้องไปทำงาน เลยโยนลูกใส่รถห้อไปโรงบาลกัน 2 คน ขับรถไปโรงบาลเป็นเรื่องที่เชี่ยวชาญพอใช้แหละ แต่มันจะเป็น 15-16 ไมล์บนฟรีเวย์ ซึ่งรถมีไม่มาก เพราะเป็นเช้าตรู่ของแต๊งส์กีฟวิ่ง พอออกจากฟรีเวย์มันเป็นเรือกสวนไร่นาไปอีก 13 ไมล์เลยนะ ไม่มีไฟ เป็นถนน 2 เลนเล็กๆ รถสวนไปมา มืดตื๋อ จะบอกว่า ตลอด 13 ไมล์ ไม่มีรถสวน ไม่มีรถนำหน้า ไม่มีรถตามหลังเลย โดดเดี่ยวโด่เด่ ไม่เคยรู้สึกกลัว แต่คืนนั้นมันรู้สึกวังเวง สยอง เสียวสันหลังชอบกล มันมืดดดด…. มาก สุดท้ายก็ถึงโรงบาลโดยปลอดภัย รอๆๆๆ รอข้างนอก รอข้างใน รอๆๆๆ ตามปกติ ไปถึงประมาณ ตี 4 ครึ่ง หมอเชี่ยนั่นเข้ามาเกือบ 6 โมง (วันที่ 26 แต๊งส์กีฟวิ่งแล้วนะ) เราก็พยายามยามจะอธิบายว่ามีไรๆๆ เกิดขึ้นบ้าง จากวันศุกร์ เชื่อมั๊ยคะ มันไม่ฟังเลยค่ะ จับลูกดูโน่นนี่ 30 วินาทีแล้วก็เดินพรวดออกไป แล้วชะโงกหน้ากลับเข้ามาบอกว่า เดี๋ยวให้พยาบาลเอายาแก้อ้วกมาให้กิน แล้วก็ไม่ได้เห็นหน้าไอ้หมอเชี่ยนั่นอีกเลย

page-485

นั่งรอเง่กกกกก…. กันต่อไป ไอ้ตี้ก็ชักดื้อซนมากมาย แม่มันก็ง่วง เพราะไม่ได้หลับได้นอนเต็มๆ อิ่มมาหลายวันแระ พอใกล้ๆ เจ็ดโมงอีพยาบาลคนแรกก็เข้ามา เอายาที่ไอ้หมอเฮงซวยบอกมาป้อน เป็นยาเม็ดเล็กๆ เค้าเอามาใส่กระพุ้งแก้มมัน แล้วก็เอานิ้วถูๆ บดๆ ให้ละลาย ไอ้ตี้ก็นั่งนิ่งให้เค้าทำอย่างง่ายดายซะงั้น แล้วอีนังพยาบาลก็บอกว่า มันจะออกกะแล้วนะ เดี๋ยวพยาบาลคนใหม่ก็จะมาดูแลเราต่อ ตายห่าสิ เปลี่ยนกะกันทีก็อีกเป็นชาติ กว่าพวกคุณเธอ เทอๆๆๆๆ จะเข้าร่องเข้ารอย เลยถามไปแล้วยังไงเนี่ย หมอสั่งยา หรือให้รอ ทำอะไรยังไงกันต่อ มันตอบว่า ไม่รู้สิ รอพยาบาลคนใหม่ละกัน แล้วยานี้ก็ให้รออาการไปอีกประมาณ 30 นาที ก็ไม่รู้จะว่าไงแหละ นั่งเซ็งต่อไป จนเกือบ 8 โมงเช้า ก็มีพยาบาลคนใหม่มาแนะนำตัว แล้วก็ถามว่าลูกอ้วกอีกมั๊ย ก็บอกไปว่า..ไม่แล้ว เธอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวไปบอกหมอ หมอว่าไงเดี๋ยวจะมารายงานผล ซักพักใหญ่ๆ เกือบ 30 นาทีได้ ไปนานเชียวอี-5 แล้วก็กลับมาบอกว่า หมอให้กลับบ้านได้แล้วนะ แต่เดี๋ยวไปเอา release form ก่อน แล้วมันก็หายไปอีกนานมากกก…. กว่าจะพริ๊นต์เอกสารออกมาได้ มันยากเย็นมากหรือไงเน๊าะ สุดท้ายมันก็มา อธิบายว่าต้องทำโน่นนี่ ห้ามลูกกินอะไรนอกจาก clear liquid ไปอีก 24 ชั่วโมง สรุปว่าไม่ได้เจอไอ้หมอคนมาเปลี่ยนเวรใหม่ด้วย แต่ก็รีบแจ้นกลับบ้านแหละ ไม่รู้บิลจะออกมากี่ร้อยแหละ จริงๆ มันเป็นพัน เพราะ 2 ER visits แต่ co-pay 20% ไม่อยากคิดอะไรแล้ว กลับบ้านดีกว่า อิชั้นยังมีภารกิจใหญ่รออยู่ซะด้วย บึ่งกลับบ้านอย่างรีบด่วน ถึงบ้านก็ 9 โมงครึ่ง แบกลูกที่หลับอยู่เข้าบ้าน พอวางลูกลง อิชั้นก็ต้องแจ้นตูดแป้นออกจากบ้านอีก

ภารกิจที่ว่าก็คือ อิชั้นต้องทำอาหารสำหรับ Thanksgiving Dinner ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อิชั้นต้องทำอาหารประเพณีฝรั่งตามแบบฉบับของฝรั่ง แต๊งส์กีฟวิ่งปีแรกๆ ที่นี่ ก็จะโห่ไปรวมตัวกันที่บ้านยายของสามี คนโน้นทำไก่งวง คนนี้ทำแฮม คนนี้เอานั่นนี่ไป ฯลฯ ก็บอกๆ ตกลงกันว่าใครจะทำอะไร เอาอะไรไป ส่วนใหญ่ครอบครัวเราจะอาสาซื้อพัมพ์กิ้นพาย หนมปัง-ดินเน่อร์โรล สลัด และเครื่องดื่ม พอยายทวด “โนน่า” ลาโลกไป ครอบครัวนี้ก็รวมตัวกันไม่ติด ก็แยกย้ายกันไป “แต๊งส์” บ้านใครบ้านมัน กัดกัน ดีกัน อิชั้นไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวยังโดนลูกหลงบ่อยๆ 2-3 ปีให้หลังเราฝากท้องแต๊งส์กีฟวิ่งดินเน่อร์ให้เป็นธุระของ Boston Market พอใกล้ๆ วันก็ไปสั่งไปจ่ายตังค์แล้วก็ไปรับอาหารตอนเที่ยงๆ ในวัน “แต๊งส์” นั่นเลย อาหารก็จะมาแบบอุ่นๆ ถึงบ้านก็อุ่นอีกหน่อย รับทานกันได้เลย สะดวกดี ทุกครั้งเราจะสั่งแฮมดินเน่อร์ + ไก่ดินเน่อร์ ไม่ใช่ไก่งวง นะคะ ไก่หมุนธรรมดาๆ จากร้านเค้านั่นแหละ พอมาปีนี้อินังซะมีก็เกิดอยากทำให้ครบๆ อยากให้อิชั้นทำไก่งวง หาาา….ไก่งวงเหรอวะ ตายห่า ไม่เคยศึกษาสตั๊ดดี้เลยแหละว่าเค้าทำยังไงกัน แต่เป็นคนหัวดีอยู่บ้าง กุไม่ทำร๊อก เดี๋ยวไปซื้อเค้าให้เสร็จๆ ไปเลย 5555 แต่จะให้ไปสั่งร้านดังแบบ Marie Callender's ก็แพงโคตรๆ Turkey Dinner ก็ร้อยต้นๆ Ham Dinner อีก 95 เหรียญ แล้วมีอิชั้นกะไอ้ตี้แค่ 2 คนนะที่อยู่บ้าน อิแด้ดดี้ต้องไปทำงานทุกวันไม่มีหยุดเพราะอยู่ในซี่ซั่น ก็สืบเสาะเปรียบเทียบหลายร้านหลายราคา มาเจอไอ้ซุปเป้อร์มาเก๊ตใกล้ๆ บ้าน ราคาไม่โหดเท่าไหร่ ชุดไก่งวงแค่ 49.99 ตอนไปสั่งก็ถามเค้าแบบคนบ้า “ย้ำคิดย้ำทำ” ปรุงสุกเลยใช่มั๊ย ปรุงสุกเลยใช่ป่าว แด๊กได้เลยแน่นะ อิคนขายก็จ้องหน้าแบบ อึ้ม….. 555 แล้วก็ตอบว่า เยส..แม่ม 555 Everything’s fully cooked just warm them up…ready to eat! เออ ดี ก็จ่ายตังค์ไป แล้วก็บอกเดี่ยวจะมารับเช้าวันแต๊งส์ฯ เลยนะ คุณๆ คะ เช้าวันนั้นน่ะ อิชั้นยังอยู่ที่โรงบาล 30 ไมล์ดาวน์เซ้าท์ไปเลยนะคะ แต่พอถึงบ้าน วางลูกลงเตียง ก็รีบไปรับอาหารที่สั่งไว้ในทันที กะไว้ว่า เดี่ยวไปรับมาแล้วจะของีบซะหน่อย เพราะไม่ได้นอนมามากกว่า 24 ชั่วโมงแล้ว พอตื่นแล้วค่อยอุ่น จัดโต๊ะ แพ๊คให้คุณซะมีเอาไปฉลองแต๊งส์ฯ ที่ทำงาน แยกๆ กันฉลองตามปกติเหมือนทุกปี

page-486

พอไปรับไอ้กล่องปริศนามาแล้ว ถึงบ้าน เปิดดูซะหน่อย (ตอนที่รับกล่องมา คนขายบอก Instruction is in the box!) พอเปิดออกมาต้อง ผงะ! เฮ้ยยยย…. ไอ้ไก่งวง ยังโฟรเซ่นแข็งโป้ก นี่ดีนะที่เปิดดูก่อน ไม่วางไว้แล้วหนีไปนอนเลย พออ่านวิธีทำ วิธีอุ่น ก็อยากร้องไห้เลย ไอ้นกยักษ์นี่ต้องเอามา Thaw ในตู้เย็นธรรมดา 2-5 วันก่อนอุ่น ห้ามทิ้งไว้ในอุณภูมิห้อง เวลาอุ่นก็ใช้ไฟ 325°F อบไป 2 - 2.5 ชั่วโมง ตายห่าละกรู… ทำไงดีกะไอ้ก้อนนกยักษ์น้ำแข็ง อย่างที่บอกแหละ เป็นคนฉลาดมาก 5555 เลยเอาไอ้ไก่งวงไปอาบน้ำร้อนซะเลย แบกนกยักษ์ไปลงกะมังในอ่างอาบน้ำ เปิดน้ำร้อนล้วนๆ ลงไป พอมองดูแล้วก็ขำ 5555 Turkish Bath เป็นอย่างนี้นี่เอง โปรดดูรูปข้างล่างในอ่างสีเขียวแอ๋นนั่น 55555 แล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้น 2 ชั่วโมง เปิดน้ำร้อนให้ไหลเบาๆ ไปตลอด …. ลุ้นกันต่อไป อ้อ..ในกล่องมีให้ครบนอกเหนือไปจากเจ้าไก่งวงแล้วก็มี Turkey Stuffing, Mashed Potatoes, Turkey Gravy, Cranberry Sauce, Green Bean Casserole, Butter Rolls, และ Pumpkin Pie ส่วนวิปครีมต้องซื้อเองต่างหาก เพราะเป็นหัวหน้าแผนกดิ้นรนมาตลอดชีวิต เลยลากซื้อแฮมมาด้วย 1 ก้อนเล็ก (4 ปอนด์) ไม่เคยทำเลยนะ แต่เห็นว่าลูกผัวชอบกินกัน แล้วก็ไม่ลืมลากสับปะรดกระป๋องมา 1 กระป๋อง กับ Cloves อีก 1 กระปุก

page-488

ระหว่างที่รอไก่งวงละลาย อิชั้นก็รีบใช่เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นประโยชน์ รีบ “อบ” แฮม เพราะอยากประหยัด ไม่อยากเสียตังค์ซื้อแฮมดินเน่อร์ ซึ่งราคา 49.99 เท่ากัน เลยขอลองอบเอง อะไรๆ มันต้องมีครั้งแรกเสมอใช่ป่าว ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ยังไงก็ลุ้นกันไป เริ่มจากเอาแฮมมาผ่าครึ่งซีกเลย คิดว่าอบเป็นก้อนโด่ๆ มันไม่น่าจะฉ่ำชุ่มอย่างที่ควรจะเป็น จากนั้นก็สาดน้ำตาลทรายแดงลงไป เขวี้ยงไอ้ cloves ลงไป ราดด้วยน้ำสับปะรด แล้วจบด้วยการโปะสับปะรดลงไป อบที่ 325°F ไป 2 ชั่วโมง ตอนที่อบนะ..บ้านหอมหวานๆ กลิ่นน้ำสับปะรดกรุ่นไปทั้งบ้านเลย พอเอาออกจากเตาอบไอ้สับปะรดก็เหี่ยวๆ ไปหน่อยนึง เอา อลูมิเนียมฟอยด์ปิด ตั้งพักไว้

page-487

ไปลากไอ้ไก่งวงที่อาบน้ำ turkish bath อยู่นานเชียว คุณนายเค้าคงได้รีแล๊กซ์พอสมควรแล้ว 5555 แช่ทั้งถุงเลยนะ มันห่อมาแบบ vacuum-seal ก็เลยไม่ต้องห่วงว่ามันจะจืดจางอะไร จากนั้นตัดออกมาจากถุง วางบนตะแลงแกง จับมัดตราสังข์ 5555 ม่ายช่ายยยย… เอาเชือกที่เค้าให้มาคล้องในตำแหน่งที่เค้าบอกไว้ เวลาอบเสร็จจะได้ยกออกจากถาดที่อบมาวางบนจานที่ตกแต่งสวยงามได้โดยสะดวก แต่อิชั้นวางตั้งโต๊ะทั้งถาดอลูมิเนียมฟอยด์นั่นเลย จากนั้นเอาน้ำมันพืชชะโลม มิใช่แทนนิ่งออยนะคะ 555 เอาใส่เตาอบ อบไปเลย 2 – 2.5 ชั่วโมง อิชั้นก็นั่งๆ นอนๆ ดูมีวี เผลอหลับไป แล้วสะดุ้งตื่น ก่อน timer ที่ตั้งไว้ 2.5 ชั่วโมงซะอีก โห…. อีไก่งวงของอิชั้น มันเกรียมซะมากมายเลยค่ะ กลายเป็น Turkey Jerky เลยค่ะ ลืมมันไว้ใน Tanning Bed นานไปหน่อย เอาวะ ครั้งแรก ผิดเป็นครู (ไม่รู้จะมีครั้งที่ 2-3-4-5 หรือป่าว 5555) จากนั้นก็ทะยอยเอาไอ้พวกเครื่องเคียงมาอบที่ละถาด สองถาด เสร็จสรรพ ตั้งโต๊ะ มีแขกผู้มีเกือกมารับทาน 2 คน คือไอ้สตี๊ฟ พี่เขยใจม๋า กับเมีย (ก็ไอ้พวกอินลอว์ของอิชั้นมันกัดกันนุงนัง ไอ้คู่นี้ไม่มีที่ไป อิซะมีของอิชั้นก็เกิดใจงาม โทรไปชวนเค้า ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่อยู่กินด้วย) ก็กินๆ คุยๆ กันไป ก็ถือว่า having good time พอสมควร อิชั้นเองง่วงเพราะอดนอนจนรู้สึกพะอืดพะอม อยากอ้วกอย่างบอกไม่ถูก แต่พอฟาดเบียร์เข้าไป 2-3 ขวด กระปรี้กระเป่าขึ้นมาเชียว คุยกะพี่สะใภ้ชาวจีนที่อ่อนวัยกว่าเยอะ สนุกสนานกัน 2 คน รู้เรื่องมั่ง-ไม่รู้เรื่องมั่ง ก็คุยกันอยู่เป็นนาน พอใกล้ 2 ทุ่มก็เลยจัดสำรับไปส่งให้ซะมีที่ที่ทำงาน สองคนผัวเมียก็เลยลากลับไป

page-489

ไก่งวงที่อบจนแห้งแก่ก ไม่มีใครกิน วันนั้นก็แล่แจกกันคนละนิดละหน่อยพอเป็นพิธี เหมือนกิน cardboard เลย 5555 ก่อนเข้านอน (ทั้งๆ ที่โคตรง่วง) ได้ตัด แคะ แกะ และเนื้อนกยักษ์นั่นออกจนเกลี้ยงเกลา เก็บแช่ฟรีซเซ่อร์ไว้ พอบ่ายๆ วันเสาร์นั่งรอให้เค้าเอารอมมี่มาส่งคืน ก็เลยหุงข้างเหนียวแล้วเอาเนื้อไก่งวงที่แช่แข็งไว้ออกมาทำไก่งวงคั่วเค็ม ทำแบบหวานๆ เค็มๆ เพราะรอมมี่ชอบ เคยทำเวลามีไก่หมุนที่ซื้อมากินไม่หมดแกะเนื้อแล้วแช่เก็บไว้ พอรวมได้เยอะหน่อยก็เอามาทำไก่คั่วเค็มให้ลูกกินเล่น แต่ไม่เคยทำไก่งวงคั่วเค็มเลยนะ ทำไปทำมา คนไปคนมา กลายเป็นไก่งวงหยอง 5555 คงเก็บไว้กินเล่นได้หลายวัน ดีกว่าทิ้งเน๊าะ ถ้าหมาแจ๊คสันยังอยู่ ก็ไม่ได้กินกันหรอก ไอ้ไก่งวงหยองเนี่ย 55555

GiveThanksHappyHolidays

ยังไงก็ Happy Thanksgiving ย้อนหลัง แล้วก็เตรียมตัว Happy Holidays กันนะคะ ปีนี้บ้านเรายังตกลงกันไม่ได้เลยว่าจะตั้งต้นคริสต์มาสหรือป่าว ปกติเราจะลากต้นคริสต์มาสและเครื่องประดับประดาออกมาเตรียมไว้ แล้วเริ่มตั้งต้นและตกแต่งกันในคืนแต๊งส์กีฟวิ่งเป็นประเพณีปฏิบัติทุกปี ปีนี้ครอบครัวเราดู อืดๆ หนืดๆ งงๆ เป็นบ้ากันไปแล้วมั๊ง 555555 ลงเอยยังไงแล้วจะมาเล่าให้ฟังค่ะxoakst-happyholidays2

Wednesday, November 25, 2009

It’s Time to order Estee Lauder (again)!

จริงๆ ก็อยากจะสั่งซื้อตั้งแต่มี Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex ออกมา แต่ว่าไอ้รุ่นเก่าที่ใช้อยู่ก็ยังเกือบเต็มขวดอยู่แถมมีฟูลไซ้ส์ (1.7 ออนซ์) เก็บอยู่ในคลังแสงอีก 1 ขวด ได้แต่บอกตัวเองว่า เย็นไว้โยม เย็นไว้อีบร้าาา… รอให้มันมีของแถมดีๆ ก่อน ก็ รอ รอ รอ แต่พอมาเจอโปรโมชั่นนี้แล้วก็ เฮ้อ… สุดห้ามใจเจงๆ

ScreenShot150 copy

ออเด้อร์แรก (แรก แสดงว่ามีออเด้อร์ต่อมา ต่อไป 555) ต้องแยกสั่งเพื่อจะได้ของแถมเยอะๆ ไม่ต้องกลัวจะต้องเสียค่าส่ง เพราะของที่สั่งมูลค่าเกิน 50 เหรียญแน่นอน สั่งว่าเป็นของขวัญด้วย เลยหีบห่อมาน่ารัก เอสเต้เค้ามีบริการนี้ฟรีๆ ถ้าไม่ลืมก็ “คลิก” ให้ห่อเป็นของขวัญทุกที แต่เนื่องในโอกาสไรไม่แซบ 555 ก็สั่งไอ้ซิงโคไน๊ซ์ขนาด 1.7 ออนซ์ ค่าเสียหายขวดนี้ $74.50 แล้วตัวอย่างซึ่งแจกแค่ 2 ชิ้น (งกเน๊าะ เมื่อก่อน 3 ชิ้นบ้าง วันดีคืนดีแจก 5 ชิ้นโน่น) ก็รีเควส Idealist กับ Projectionist กับ High Definition Volume Mascara ไป ระยะหลังมานี้เค้าแจกโบว์ชมพูกับการ์ดรณรงค์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม-มาด้วยทุกครั้ง เชิญชมค่ะ

SkinCarePage-15

ออเด้อร์ที่สอง (แค่ 2 ออเด้อร์แหละ 555) สั่งชุด Wrinkle Reduction Essentials (with full-size Time Zone) มา ค่าเสียหาย 70 เหรียญ สินค้ามาในกล่องสีทองแข็งโป้ก เค้าโปรยไว้ในเว๊บว่า Limited-time collection includes your Beautiful Skin Solutions for Wrinkle Reduction in an exclusive gift box:

  • Time Zone Line and Wrinkle Reducing Creme SPF 15 for Normal/Combination Skin, 1.7 oz. (full-size)
  • Perfectionist [CP+] Wrinkle Lifting Serum, .5 oz.
  • New. Time Zone Anti-Line/Wrinkle Eye Creme, .17 oz.
  • Soft Clean Moisture Rich Foaming Cleanser, 1.7 oz.

ก็รู้จักมักจี่กันดีทุกชิ้น ไอ้กระปุกเก่าเหลืออยู่ครึ่งนึง อันใหม่ก็เก็บเข้าคลังแสงไปก่อน อีซะมีมาเปิดตู้เย็นคลังแสงของอิชั้นเพื่อฝากช๊อคโกแล๊ต (จริงๆ อีจะซ่อนลูก 555) ถึงกับผงะ เฮ้ย… อีอ้วน ทำไมไม่ควักกินซะให้หมดเร็วๆ จะได้ซื้อใหม่อีก 555 แถมยังมาบอกอีกว่าเห็นโฆษณาว่ามี Blockbuster Set ออกมา สั่งไปหรือยังครับอีอ้วนนน… ไม่เอาหรอก ซื้อทุกปี ใช้ไม่ทัน นี่ขนาดแจกลูกเล่นด้วย พอได้ชุดใหม่ ชุดเก่าก็เป็นของคุณนายรอมมี่มัน เผลอเรอเล่นไม่เก็บ ไอ้ตี้ก็ไปจก ไปควัก ไปแคะ ให้ได้มีโมโหไล่ตื้บน้องได้อีก 5555 ต่อๆๆๆๆๆ ตัวอย่างที่รีเควสไปรอบนี้เป็น Idealist หลอดจิ๋วกับ ตัวอย่างน้ำหอมขวดสเปรย์จิ๋วกลิ่น Sensuous กลิ่นนี้หอมดีนะ จริงๆ มีตัวอย่างอยู่หลายหลอดแล้วแหละ ไม่ต้องซื้อฟูลไซ้ส์ให้เปลืองตังค์ 5555 บางทีเดินเข้าเดินออกเมซี่ส์เค้าก็ไล่แจกมา ได้แถมเวลาซื้อเอสเต้ก็บ่อยๆ ขอนอกเรื่องนิดนึง ส่วนตัวแล้วจะกลัวน้ำหอมทุกชนิดถูกแพงที่มีกลิ่นวานิลา hint เล็กๆ ก็ไม่ได้ เกลียดๆๆๆๆ อีกกลิ่นนึงที่เกลียดกลัวไม่แพ้กันก็คือ กลิ่นพีช พลัม อ้วก แหวะๆ ลางเนื้อชอบลางยาเน้อ ใครชอบก็อย่ามาโกรธเกลียดกันนะค้าาาา.. 555

SkinCarePage-16

คราวนี้มาดูของแถมกัน เยอะแยะตาแป๊ะก่ายจริงๆ พวกเมคอัพก็จะให้พี่สาวกับเด็ดแม่ เลยเลือกสีที่มันเรียบร้อย ไอ้ cool shades จริงๆ ก็เรียบร้อยใช้ได้บ่อยแหละ แต่ warm shades มันออกน้ำตาลซึ่งสตรีสูงวัยจะชื่นชอบมากกว่า 555 พี่หญิงใหญ่ของอิชั้นมาอ่านเข้าคงก๊ากกกก…. อ่อนแก่กว่ากันไม่เท่าไหร่ร๊อกกกก… 555 ส่วนครีมบำรุงทั้งหลายอิชั้นก็จะเก็บไว้ใช้เอง ไม่เห็นแก่ตัวเลยนิ โปรดสังเกตมาสคาร่าทั้ง 3 หลอดเป็นรุ่นเดียวกันแต่แพคเกจที่มากกับชุดในกระเป๋าจะเป็นแบบหัวตัด ส่วนที่รีเควสไปจะเป็นหัวแหลม มาดูว่าในกระเป๋ามีอะไรบ้าง ….

  • New. Time Zone Anti-Line/Wrinkle Eye Creme (7-day supply)
  • Resilience Lift Extreme Ultra Firming Eye Creme (7-day supply)
  • Time Zone Line and Wrinkle Reducing Creme SPF 15 (14-day supply)
  • Pure Color Crystal Lipstick (full-size, in Ripe Papaya) Exclusive Lip and Eye Palette with 8 Estée Lauder Eyeshadows (Honey Drop, Cinnamon, Tea Biscuit, Mink and Truffle Quad) and 3 Pure Color Lipsticks (Tiger Eye, Melon and Nectarine)
  • New. Advanced Night Repair Synchronized Recovery Complex (14-day supply)
  • Projectionist High Definition Volume Mascara (10-day supply, in Black)
  • Patent-Trim Cosmetic Bag

SkinCarePage-17

ก่อนที่อิชั้นจะเก็บของที่ซื้อมาเข้าคลังแสง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ยา หรืออาหาร อิชั้นจะเขียน “เดือน/ปี” กำกับไว้ให้ชัดเจน ถ้าเป็นอาหารและยา-เค้าก็จะมีวันเดือนปีที่ผลิดหรือหมดอายุระบุไว้ชัดเจน แต่ก็จะเขียนให้มันใหญ่โต อ่านง่าย และเตะตา โครมมมม…เข้าให้ ส่วนเครื่องสำอางส่วนใหญ่จะไม่มีบอก แต่จะมีหมายเลขล๊อตที่ผลิต ถ้าหากอยากทราบวันที่ผลิต วันหมดอายุ ก็เช็คได้จากต้นสังกัดสินค้านั้นๆ แหละ ก็อย่าทำตัวให้มันยุ่งยากเลย เป็นแค่ลูกค้าจอกๆ คนนึง (ถ้าไม่จอกคงสั่ง Re-Nutive สีทองไซ้ส์จัมโบ้ ยกเซ๊ตไปแระ 5555 กระปุกละพันเหรียญ 5555 น่าใช้เน๊อะ ซื้อใช้แล้วผอมแน่ ผอมทั้งบ้านเลยด้วย เพราะไม่มีเงินซื้อข้าวกิน 555) คนเรา…ถ้าช่วยเหลือตัวเองได้…ก็ทำไปเหอะนะ พอเขียนแล้วก็เก็บให้เรียบร้อย เวลาที่จะเอาออกมาใช้จะได้เรียงลำดับก่อน-หลังที่ซื้อมาได้ ถ้าหากมันจะหมดอายุไปบ้างก็คงไม่ได้หมดไปแล้วหลายปี แล้วถ้าเนื้อครีมไม่เยิ้มแยกตัว ไม่เหม็น สีไม่เปลี่ยน อิชั้นก็จะใช้จนหมดทุกอันเลยแหละ งกซะขนาดนี้ หนังหน้าอิชั้นแข็งแรงดีค่ะ ไอ้เขียน “เดือน/ปี” แบบนี้ช่วยได้เยอะนะคะ แนะนำให้นำไปปฏิบัติกันทุกครัวเรือนเลยเชียว 555

Happy-Thanksgiving-Cooked-Turkey-Posters

Happy Thanksgiving Everyone!

Thursday, November 19, 2009

Rommy…Good 2 B Known.!.!..

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนลูกสาวไปแค้มป์มา 5 วัน ก่อนหน้านั้นอิแม่มันก็วุ่นวายเตรียมแพ๊คข้าวของไปให้พอใช้และพอดีๆ ไม่โอเว่อร์แพ๊ค เพราะรู้จักลูกดี ว่า มันไม่มีวินัย มันไม่รักษาของ ขนเอาที่เน่าๆ ไปซะเป็นส่วนใหญ่ หายไปจะได้ไม่เกิดโมโหถึงต้องฆ่าลูก กระเป๋าที่ให้ลากไปก็แพ๊คไว้อย่างดี ยัดข้าวของไว้ครบไม่มีใบลูก ใบหลานงอกออกมา แม้แต่ถุงนอนก็ยัดใส่ไปในนั้นด้วย เห็นบางบ้านแพ๊คของให้ลูกก็สงสารเด็กๆ ส่วนใหญ่เอาถุงนอนใส่ถุงก๊อบแก๊บบ้าง ถุงขยะบ้าง แล้วอีกหลายๆ บ้านอนาถกว่านั้น แพ๊คของให้ลูกใส่คอนเทนเน่อร์พลาสติกซึ่งมีรอยแตกแล้วแปะๆ ปะๆ ไว้ด้วยดั๊กท์เทป พอเค้าเรียงข้าวของเด็กใส่รถเทรลเล่อร์ก็เป็นห่วงว่าภูเขาสมบัติบองคนอื่นจะไปทับไอ้กล่องปั๊ดติกพวกนั้นให้แตกหักเสียหายก่อนที่จะถึงแค้มป์ พ่อแม่-หนอ-พ่อแม่ ทำไปได้….

page-476

ตอนลูกอยู่ที่แค้มป์ เด็กๆ ก็จะนอนบั๊งค์เบด แต่เค้าให้เอาหมอนกับถุงนอนไปทุกคน เพื่อไปปูทับฟูกนอนได้เลย (เค้าไม่มีผ้าปู หมอน ผ้าห่มให้) แยกเคบินเด็กชาย-หญิง โดยแต่ละเคบินจะเป็นที่พักที่นอน ห้องน้ำสำหรับเด็ก 8 คน + 1 Chaperone (พี่เลี้ยง) ห้ามทางบ้านโทรหา ห้ามไปเยี่ยม ห้ามโทรกลับบ้าน (เหมือนคุกเลย 555) ได้ยินว่าหลายๆ คนโฮมซิก ครอบครัวเราส่งการ์ดไปให้ลูก 2 ครั้ง เห็นเล่าว่าตอนเจ้าหน้าที่เอาการ์ดไปให้ (ระหว่างดินเน่อร์) อิหนูของแม่เกือบร้องไห้คิดถึงบ้าน แล้วเกิดมีเด็กคนนึงป่วยเป็นไข้ เค้าต้องโทรให้พ่อแม่ไปรับออกจากแค้มป์ เพราะเกรงว่าจะพาลทำให้คนอื่นป่วยไปด้วย ส่วนเด็กๆ ที่ไม่ได้ไปแค้มป์ก็ต้องไปโรงเรียนตามปกติ (ไอ้คนละ 200 เหรียญเนี่ย มันก็หลายตังค์อยู่นะสำหรับบางครอบครัว ครอบครัวเรายังต้องซื้อข้าวของเตรียมให้ลูกอีกหลายตังค์)

ลูกอิชั้นมัน “กระบือถึก” อึดมาก เวลาทำอะไรก็ดูเหมือนตั้งใจทำสุดหัวใจ พยายามทำให้ดี จนได้รับคำชม ได้รับรางวัล ตอนที่ไปรับลูกครูบาอาจารย์ พี่เลี้ยง ฯลฯ วิ่งแจ้นมาบอกว่าลูกอิชั้น ยอดเก่ง ยอดคน ยอดหญิง ยอดเด็ก ยอดมารยาทงาม ยอดมีน้ำใจ สารพัดจะสุดยอด ก็ได้แต่ยิ้มขอบคุณเค้าไปให้เสร็จๆ บางคนถึงกับชมว่าอิชั้นเลี้ยงลูกเก่งจัง แหงะ.. จริงๆ อยากอ้วกแตก เพราะรอมมี่มันนิสัยยอดแย่มากๆ เวลาอยู่ที่บ้าน ไอ้คำชมแบบนี้ได้ยินมาตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เริ่มไปโรงเรียน จนถึงปัจจุบัน 

ด้วยที่ลูกเป็นเด็กใหม่สำหรับโรงเรียนนี้ ตั้งแต่เราเสียบ้านไป ก็เริ่มจากเอาลูกออกมาจากโรงเรียนแคธอลิค แล้วก็ย้ายไปรอบๆ เมืองอีก 2 โรงเรียน จนมาถึงโรงเรียนนี้ ซึ่งเป็นพับลิคสคูลที่ดีที่สุดในเมือง (อิพ่อมันอยากเช่าบ้านนี้ก็เพราะอยู่ในเขตที่ลูกจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนนี้แหละ) ทุกๆ โรงเรียนที่ลูกเรียน รอมมี่ก็จะกลายเป็นซูเป้อร์สตาร์ เรียนเก่ง กิจกรรมเก่ง ฯลฯ ครูๆ ชมเปราะ บ่นเสียดายที่ต้องให้ลูกลาออก แม้แต่โรงเรียนแคธอลิค ครูใหญ่ถึงกับดิ้นรนทำเรื่องขอสกอล่าชิพจากโบสถ์ให้รอมมี่ได้เรียนฟรี อิพ่อมันไม่อยากเอาลูกออกจากโรงเรียนแม่ชีเลย จริงๆ เราก็พอถูไถส่งลูกให้เรียนที่นั่นได้ แต่อิชั้นไม่เอาแหล่ว ภาระและกิจกรรมของพ่อแม่เยอะเหลือเกิน-นอกเหนือไปจากค่าเล่าเรียนที่แพงถ้าหากลูกยังเรียนที่นั่น เด็กๆ ก็หัวสูงและ mean รวมถึงอิลูกของอิชั้นเอง อยู่ไปอยู่มานิสัยยอดแย่มากๆ ส่วนโรงเรียนล่าสูดก่อนหน้านี้ รอมมี่กลายเป็นขวัญใจของ principle สุดหล่อ เข้าไปเรียนได้ไม่เท่าไหร่ ครูใหญ่วิ่งแจ้นมาหา อิชั้นก็ตกใจ ลูกกรูไปก่อการร้ายอะไรหรือป่าววะ สุดหล่อมาชมยกใหญ่เลี้ยงลูกยังไงวะ…เก่งจัง She’s the best ever แล้วยังบอกว่า If I have only 40 students like her in my school…I’m in heaven! พอตอนไปทำเรื่องลาออกให้ลูก สุดหล่อก็มาห้ามปราม อยากให้รอมมี่อยู่ที่นี่ จะทำเรื่องทรานสเฟอร์ข้ามเขตให้เองเลย โอ้ย…. เยอะ เรื่องที่คนนอกชมลูกคนนี้ของอิชั้น เอาแค่ในแวดวงอินลอว์ มันก็เป็นสุดที่รักของอาๆ ป้าๆ ลุงๆ อิแม่ก็อยากแค่ให้มันเป็นคนแสนดีแค่เสี้ยวนึงกับที่มันดีนอกบ้านตามที่ (คนไม่รู้จริง) เลื่องลือ ฮื่อ….

page-477

ระหว่างที่อยู่แค้มป์ มีครูหนุ่มคนนึงซึ่งเป็นหัวหน้าทีมครั้งนี้ เกิดหลงรักอิรอมเข้าอย่างจัง พูดโน่นพูดนี่ว่ามันนี่เป็นเด็กแสนจะวิเศษ สุดพิเศษ แล้วก็พูดออกมาว่านี่เป็นเพราะเค้าได้สอนมันตอนเล็กๆ แน่เลย (ครูคนนี้เป็น Kinder Teacher สุดป๊อปประจำตำบล) มันก็บอก โน๊..โน่ มันไม่เคยเรียนกะเค้า 5555 มันมาจากโรงเรียนอื่น 5555 โธ่คุณครู…เจอฤทธิ์อีรอมเข้าไปหน่อยนึง พี่โย่งสุดหล่อเจ้าของหมายักษ์ถึงกับมา (ฟ้อง) บอกเล่าให้อิชั้นฟัง นอกเหนือไปจาก ชมๆๆๆๆ จนอิแม่มันเอียนจนเกือบอ้วกแตก ฟังมากๆ แล้วมันมีโมโหนะ เพราะแม่ย่อมรู้จัก ตัว ตน ที่แท้จริงของลูกตัวเองเสมอ…. 5555

รูปภาพทั้งหลายได้มาเท่าที่เห็นนี่แหละ ให้ลูกเอากล้องไป (ทำใจไว้ด้วยนะว่าว่าจะไม่ฆ่ามันถ้ากล้องหายหรือพัง 5555) เห็นบอกว่าแค่วันที่สองแบตเตอรี่ก็สิ้นใจซะแล้ว มันทำอะไรของมันก็ไม่รู้ เฮ้อ…. ได้รูปมา 22 รูป ดีมั่งเสียมั่ง + กะ 1 คลิปวิดีโอ เชิญชมกันค่ะ

วันแรกๆ ที่ลูกย้ายมาโรงเรียนนี้ ก็บ่นตามประสา Drama Queen ว่าไม่มีใครพูดด้วย หรือเล่นด้วยเลย พอไม่กี่วันต่อมาก็เห็นมีหนุ่มน้อย 3 คนมารอรับที่ประตูโรงเรียนทุกวัน พออิรอมก้าวลงรถ หนุ่มน้อยดีอกดีใจเหมือนเห็น ดาราสาว Li-Lo 555 แต่หลังจากกลับมาจากแค้มป์ เด็กๆ ทั้งชายและหญิงมารอรับรอมมี่ที่ประตูโรงเรียนไม่น้อยกว่า 7-8 คนทุกวัน เมื่อวานมีเคสน่ารำคาญมาเล่าให้แม่ฟัง เพื่อนที่เคยรักใคร่กันดีเกิดขัดเคืองใจกัน แตกแยกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วก็มาถามรอมมี่ว่าจะเข้าข้างไหน which side would you choose? My or his? อิรอมตอบไปว่า I don’t play sides… If I have to… I choose MY SIDE!!! 5555 เอากะมันดิ 5555

วันก่อนตอนขับรถอยู่ๆ ลูกก็พูดว่า….จากที่เป็นเด็กใหม่ ใครๆ ก็ไม่สนใจ บางคนก็ไม่ชอบ …ตอนนี้รู้สึกดี๊ดี ใครๆ ก็ชอบ ใครๆ ก็รัก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อนๆ ที่ไม่อยากพูดด้วยเล่นด้วย ก็วิ่งเข้าหา เจอหน้าทักทาย แล้วอิรอมก็พูดขึ้นว่า  Mommy…. It’s GOOD TO BE KNOWN! Everybody recognized who I am….ลูกกรูจะเหลิงมั๊ยวะ อะไรก็ช่างเหอะ อยากให้ลูกเรียนดี เป็นคนดี อย่างที่เค้าพูดกัน รวมทั้งที่บ้านด้วย เลิก “ตื้บ” น้องอย่างไม่มีเหตุผลซะที เลิก smart mounth กับพ่อแม่ เวลาบอกให้ช่วยเหลือ หยิบจับ อะไร แค่ครั้ง สองครั้งก็พอแล้ว ไม่ต้องรอให้ถึง 15 ครั้ง จากแม่บอกดีๆ จนสุดท้ายแม่ต้องแหกปากตะโกนเหมือนเป็นบ้า เฮ้อ……


Monday, November 16, 2009

มหากาพย์แปรงแต่งหน้าของอิชั้น (My Makeup Brushes Haul) !!!

ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า บ้าบอมากมายเกี่ยวกับแปรงแต่งหน้า แต่งหน้าแต่งตาก็ไม่เข้าท่า แค่เป็นบ้าชอบซื้อแปรงเท่านั้น และที่เห็นทั้งหมดนี้ไม่ได้ขนโขยงซื้อมันรวดเดียว ซื้อมันเรื่อยเปื่อย เปะปะ ทีละอัน สองอัน ตั้งแต่แปรงอันแรก จนถึงอันล่าสุด น่าจะใช้เวลาเกือบ 30 ปี แปรงทั้งหลายที่มีอยู่ในครอบครองมีทั้งถูกทั้งแพง (บางอันที่อิชั้นว่าแพง อาจจิ๊บจ๊อยมากสำหรับหลายๆ ท่าน แต่มันแพงสำหรับอิชั้น Please don’t judge me and don’t take it personal…it’s just my opinion na ka) จริงๆ แล้ว ในตลาดเครื่องสำอาง..มีแปรงแต่งหน้ามากมายหลายระดับราคา บางยี่ห้อก็แพงมากกกก… อันละเป็นหมื่นบาท (อันละนะคะ ไม่ใช่ชุดละ) อิชั้นคงไม่ซื้อหรอก แพงเกิ๊นนน… มีตังค์เหลือเฟือ ยังต้องขอคิดดูก่อน ที่ซื้อก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนค่ะ ซื้อไปเรื่อยตามดวง ตามวาระและโอกาส บางอันก็ได้มาฟรี ซื้อโน่นนี่แล้วได้แถมบ้าง อยู่ในแพ๊คเกจบ้าง เมื่อวานล้างแปรงแต่งหน้าที่ใช้ๆ อยู่ แล้วก็เอาแปรงที่ล้างสะอาด ผึ่งแห้งจากครั้งก่อนๆ ออกมาเสียบๆ ใส่ที่ตระกร้าที่พร้อมหยิบใช้ แล้วก็เลือกแปรงที่ไม่ได้หยิบจับมาใช้เลยออกไปเก็บ พินิจพิจารณา โอ้โห….อีบร้านี่ ทำไมมันช่างเยอะแยะตาแปะก่ายมากๆ มาดูกันเลยดีกว่า

IMG_1520 copy

เซ็ตแรกที่นำมาให้ชมเป็นแปรงที่ใช้ในงานศิลปะ หลังจากที่ดูเค้ารีวิวว่าแปรงพวกนี้คุณภาพสูสีกับแปรงของ M·A·C (ทำไมต้องแม๊คตลอดเลยน๊าาา…) มีรีวิวและพูดถึงเยอะมากๆ ไปหาดูกันได้ง่ายๆ ในยูทู้บ ไอ้เจ้าแปรงข้างบนทั้ง 4 ด้าม อิชั้นไปลากมาจาก Michael’s - The Arts & Crafts Store ตอนที่มันลด 40% off จริงๆ มันก็ราคาไม่แพงอยู่แล้ว พอได้ลดก็เลยถูกเข้าไปใหญ่ จำไม่แม่นเพราะซื้อมานานแล้ว น่าจะจ่ายไปอันละ 1 - 2 เหรียญเท่านั้น เค้าบอกว่าทั้ง Loew Cornell Paint Brushes และ Royal Softgrip Brush ขนมันเป็น natural hair (goat hair) หลังจากที่ลองใช้มาร่วม 2 ปี ใช้ๆ ล้างๆ อิชั้นขอสรุปว่าโอเคทีเดียว คุณภาพเกินราคา เวลาใช้และล้างตอนแรกๆ ก็มี shedding อยู่พักนึงเชียว เรื่อง Soft & Dense ขนแปรงก็นิ่มแต่ไม่ได้นิ่มมากมาย scratchy นิดๆ แบบทนได้ ด้ามยาวสะใจ สำหรับคนที่แต่งหน้าแบบใกล้ชิดติดกระจกเลยจะเกะกะไปนิด ราคาและคุณภาพเหมาะกับคุณหนูๆ น้องๆ ที่ budget น้อย และ beginner ทั่วๆ ไปค่ะ ไม่รู้ใครลองใช้แปรง “สง่า มยุระ” บ้าง คิดว่าถ้าได้กลับบ้านเมื่อไหร่จะไปลองซื้อมาใช้ดูบ้าง ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ ….. แต่ราคาตอนนี้เป็นยังไงไม่รู้ จำได้ตอนเด็กๆ แพงอยู่เหมือนกัน…. เงินสมัยเด็กๆ นี่เน๊าะ

รูปบนนี้เป็นแปรงปัดแป้ง Powder Brush ชอบแปรงพวกนี้ที่มันแบนๆ นิดนึง ไม่กลมดิก แล้วเค้าก็ Tapered ให้ปลายโค้งมนใช้ง่ายขึ้น

อันที่ 1 และ 2 จากบน ด้ามดำๆ นั่น ยี่ห้ออะไรไม่รู้ 555 ดูกันเอาเอง กูเกิ้ลก็ไม่เจอค่ะ มิสเตอร์โนเนมนี่ใช้มานานกว่า 15 ปี หรือกว่านั้นไปเยอะเลย จำได้ไม่แม่นว่าได้มาจากไปเรียนแต่งหน้าจากที่ไหน เพราะเมื่อสมัยสาวๆ ไปเรียนแต่งหน้าตามเค้าน์เตอร์บ่อยมาก คือซื้อของเค้าเยอะๆ พอเค้ามีนวดหน้า สอนแต่งหน้า อะไรๆ ก็ได้ไปเรียนฟรีๆ คอร์ส 1 วัน ครึ่งวัน ก็ว่ากันไป ซื้ออุปกรณ์เองเพิ่มได้..ถ้าโลภ 5555 จำได้ว่าเคยเรียนของเอสเต้ ลังโคม ดิออร์ ฯลฯ ซื้อแปรงตรงนั้นอันนึง ตรงนี้อันนึง ซื้อไปเรื่อย ไอ้แปรงแป้งอันนี้ (ที่มีหมายเลข 3 ที่ด้ามนะคะ) ดีมากๆ นุ่ม แน่นกำลังดี แปรงที่นุ่มๆ หลวมๆ โปร่งๆ บางๆ ใช้ยากนะคะ ส่วนตัวแล้วไม่ชอบเลยค่ะ แต่ถ้าขนแข็งโป๊กเลยก็ไม่ไหวค่ะ มันต้องพอดีๆ ค่ะ แปรงอันนี้พอดี ไม่กินแป้ง ปัดง่าย ไม่ shed ล้างมาเป็นร้อยที ยังดูดีอยู่ค่ะ อันแรกที่มีหมายเลข 2 กำกับนั่น ไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ ขนแปรงยาวกว่า ถึงความ dense (แน่น) จะเหมือนๆ กัน แต่ขนที่ยาวกว่าเลยทำให้ปัดยาก คอนโทรลการใช้แป้งลำบาก ฟุ้งเกินไป เลยเอาไว้เป็นภารโรงเก็บสะอาดปัดแป้งที่ร่วงๆ ตามตลับต่างๆ ค่ะ

อันที่ 3 แม๊ค จ้า แม๊ค 5555 มีแปรงแม๊คที่เป็นเซ็ต อยู่เซ็ตนึง (8 แปรง) แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นของแท้ เพราะไปบิดมาจากอีเบย์ จำได้ว่าไม่ถูกนะคะ 7-80 เหรียญเลยแหละ แต่ก็ใช้มันเรื่อยมา 2-3 ปีได้แล้ว ไม่ว่าพวกมันจะจริงหรือปลอม คุณภาพเหมือนแปรงที่ซื้อจากเคาน์เต้อร์ M·A·C เลย กลับมาที่แปรงแป้งของแม๊คอันนี้้เป็น M·A·C 150 โอเคเลยแหละ คุณภาพเป็นที่พอใจมาก เวลาใช้หรือล้างขนก็ไม่หลุดร่วง นานๆ จะมี shed ซักเส้นนึง ซึ่งแปรงอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกัน น่าจะถือว่าเป็นเรื่องปกติมั๊ง ถ้าร่วงโครมๆ ไม่เลิก แบบไข้หัวโกร๋นคุกคาม คงถูกฌาปณกิจไปเรียบร้อยแล้ว….5555 แปรงนี้ถูกหยิบมาใช้บ่อย นุ่ม ใช้ง่าย หัวแปรงเค้า tapered (เหลา) ให้โค้งมน ขนาดของขนแปรง (ความยาว+ความแน่น) เรียกว่า พอดีๆ ด้ามแปรงยาวพอเหมาะ ใช้ได้ทั้งกับการลงแป้ง บลัช และบรอนเซ่อร์เลยค่ะ

อันที่ 4 จาก CoastalScents.com ชื่อว่า Italian Badger Chisel Powder Brush อันนี้ขนธรรมชาติเช่นกัน ทิ่มหน้าเจ็บนิดนึง เจ็บก็พอทนได้ค่ะ แต่รูปร่างและลักษณะของหัวแปรงมันเหมาะเจาะมากๆ กับงานลงแป้ง ใช้แล้วก็ถูกใจ ความ Dense พอดีๆ อันนี้ก็เป็นแปรงที่ชอบและใช้บ่อยๆ อันนึง

อันที่ 5 จาก CoastalScents.com เช่นกัน Large Paddle Face Brush (comparable to M·A·C 134) (เทียบกับแปรงแม๊ค ทำม๊ายยย…ทำไม ต้องเทียบกับแปรงแม๊ด จริงๆ แล้ว แปรงแม๊คไม่ใช่ the best on earth นะคะ ..สำหรับอิชั้น 555) ใช้แปรงอันนี้มานานพอสมควรแล้ว ก็ชอบ ใหญ่ดี ขนนิ่มและแน่นกำลังดี ไม่บาดหน้า เค้าชอบใช้คำว่า natural hair ซึ่งส่วนใหญ่ จะเป็น ขนแพะ (goat hair) ไม่ใช่ขนเพชรเด้อ 55555 จริงๆ มันจะเป็นขนสิงสาราสัตว์อะไร กระรอก กระแต หมา แมว หรือ road kills เจ้ก็โอเค เพราะต้องผ่านกรรมวิธีซัก ฟอก ล้าง ย้อม มาพอสมควรแหละ กว่าจะมาถึงมือผู้บริโภค ขอให้นิ่มและแน่นเหมาะกับงานก็พอแล้ว

คราวนี้มาที่แปรงสำหรับลงรองพื้นแบบลิควิด จากรูป ไอ้ 2 ด้ามแดงของ POSH นั่น ไม่ชอบ ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เข้ากรุไปตามระเบียบ ที่ใช้บ่อยเป็น M.A.C. 190 Foundation Brush กับ Prescriptives Foundation brush สองอันนี้คุณภาพสูสีกัน กินกันไม่ลง 555 ลงรองพื้นได้เรียบเนียนดี หลังๆ ไม่ค่อยได้ใช้ Liquid Foundation บ่อยนัก และเวลาใช้ก็ถนัดลงรองพื้นด้วยแปรงแบบขนดูโอ้มากกว่า แปรงเหล่านี้ก็เลยถูกเก็บลงกล่องไปแล้ว

มีแปรงรองพื้นและคอนซีลเล่อร์ แบบ 2 หัว อยู่อัน เป็นแปรงคุณภาพดีราคาถูก แทบจะทุกแปรงของยี่ห้อนี้ (Essence of BEAUTY) คุณภาพดีมากๆ หาซื้อได้ที่ CVS แต่แปรง 2 หัวนี่เก็บยาก ต้องใส่เก๊ะ ใส่กล่องแบบนอนราบ ส่วนแปรงคอนซีลเล่อร์อันอื่นๆ ก็มีของ Laura Mercier แม๊ค แล้วก็ e.l.f ไม่ได้ใช้เลย เพราะลงคอนซีลเล่อรทีไรก็ นี่..เลย… “นิ้ว” ค่ะ 555 ทันใจกว่า …คว้าแปรงไม่ทัน 55 ไอ้ลอร่าปลายแหลมนั่น ไม่เคยใช้เลย ส่วนของ eye lip face นั่น อิชั้นเคยลองเอามาปาดเจลไลเน่อร์ เวิ๊กมากค่ะ

คราวนี้มาดู Flat Top มีอยู่ช่วงนึงที่เห่อ MMU Mineral Makeup ตามกระแสกะเค้าซะหน่อย แต่มีไม่เยอะหรอกค่ะ วิธีลงรองพื้น เบส หรือ แป้ง พวก MMU ต้องใช้วิธี Buff การบั๊ฟฟ์ ก็คือ วนๆ แปรงไปทั่วๆ หน้า ซึ่งแปรงที่จะทำหน้าที่บั๊ฟได้ดีก็คือแปรงหัวตัดตรง อันเล็กบนสุดเลยคือ Long Handled Kabuki ของ Everyday Minerals เป็น synthetic fibers ก็นุ่มแน่นดี เหมาะกับงาน MMU พอมันเป็นใยสังเคราะห์ที่นุ่มๆ มากๆ พอเราวนๆ มันจะย้วยๆ เลยรู้สึกว่ามันกินแป้งค่ะ

อันที่ 2 เป็นแปรง Bionic Flat Top Buffer Brush จาก CoastalScents รูปร่างหน้าตาต่างจาก อันแรก แต่คุณภาพและผลงานพอกันค่ะ นุ่มมาก ไม่บาดไม่ข่วนผิวหน้าดีค่ะ แต่บั๊ฟฟ์ ได้แบบ “งั้นๆ”ขนนุ่มย้วยไปนิด แต่ก็พึ่งพาได้ เอามาบั๊ฟแล้ว ก็แบบ…ฝนเข้าไป วนเข้าไป ถูเข้าไป เรียบกริ๊บพอใช้ เมื่อยจั๊กกะแร้กำลังดี 555

อันที่ 3  เป็นแปรงของ mark ซื้อมาจาก http://www.meetmark.com/PRSuite/home/home.jsp(mark เป็นผลิตภัณฑ์ ไลน์น้องสาวของ AVON) แปรง mark Blush + Bronzer Brush ความแน่นพอดี๊…พอดี บั๊ฟได้มันส์สะใจมาก แต่ขนร่วงเหมือนหมาขี้เรื้อน ร่วงแบบเต็มหน้าเลยค่ะ แล้วพอใช้ๆ ไป บานแฉ่งเสียรูปทรงมาก ถือว่าไม่คุ้มกับ $7.00 ที่จ่ายไป

ขอพูดถึงแปรงแป้งของ Posh ด้ามแดงทั้ง 2 อันพร้อมกันเลยนะคะ คือต่างกันที่ขนาดและพุ่มขน อิชั้นเอาไว้ปัดฝุ่นผงส่วนเกินบนหนังหน้าบ้าง และตามตลับ หรือ Palette ต่างๆ กลายเป็นนักการภารโรงไปเลย แปรงยี่ห้อนี้ค่อนข้าง “ห่วย” ขนแปรงค่อนข้าง scratchy นิดหน่อย คือ ไม่มากมาย ขนาดทนไม่ได้ 555 ความ dense ของขนแปรง ไม่ดี พอขนแปรงไม่แน่น แปรงก็จะไม่ค่อย “ดีด” พอไม่ดีด มันก็กวาดไป-กวาดมา เลยเหมือนไม่ได้ทำอะไร กลับไปถูไถเอาที่พอกๆ ไว้ก่อนเล่น…ซะงั้น คือว่าไม่ชอบ ไม่ถูกใจเลยค่ะ

ส่วนเจ้า Prescriptives ถูกคว้ามาใช้บ้าง แต่ไม่บ่อย ซื้อมาพร้อมกับ Prescriptives All Skins Mineral Makeup SPF (MMU ชิ้นแรกของอิชั้นเลยนะนั่น) ขนแปรงแน่นหนาพอดี บั๊ฟ MMU ได้ดี แต่รู้สึกว่า scratchy ไปนิดนึง เลยเป็นนางรองๆ ไป

ส่วนไอ้อ้วนขนขาวนั่นอันล่างขวานั่น เรียกว่าหลุดจาก inventory ไปเลย เพราะ เป็นแปรงหมาขี้เรื้อนอีกอัน มันร่วง ร่วง ร่วงงงงง… มากๆๆๆๆๆ  ขนแปรงแข็งโก๊ะ โยนไว้ในเก๊ะ จนลืมไปเลย เพิ่งค้นเจอ เดี๋ยวเอาไปให้ลูกเล่นดีกว่า ของถูกแล้วดีก็มีเยอะ ไอ้นี้ถูกแล้วห่วยซะ นี่ถ้าซื้อมาแพง จะเจ็บใจยิ่งกว่านี้อีก 55

มาถึงแปรง Skunk (Duo Fiber Stippling Brush) แปรงเอนกประสงค์ที่แสนรักฝูงนี้ จากบนลงล่างเลยนะคะ อันแรกเป็นแบบนกสองหัว 555 ด้านนึงเป็นแปรงแป้งอีกด้านนึงเป็นดูโอ้ไฟเบ้อร์ ยี่ห้อ Studio Basics ซื้อมาจาก CVS ราคา 7-8 เหรียญมั๊ง จำได้ไม่แม่น แต่มั่นใจว่าไม่เกินนั้น ขนสีดำทิ่มแทง scratchy นิดหน่อย ไม่ถึงกับเจ็บปวดอะไร ใช้ได้ดีมากทั้งสองด้าน คุณภาพเกินราคา ซื้อหามาใช้กันเลยนะคะ

แปรงสกั๊งค์คู่ต่อมาเป็น Silver Duo Fiber Stippling Brush จาก CoastalScents.com (เว๊บนี้ขายแปรงคุณภาพดีราคาย่อมเยาค่ะ) พอได้แปรงอันนี้มาอันแรก เลิ้บๆๆๆๆๆ ใช้ดีทีเดียว ก็เลยสั่งซื้อมาเพิ่มอีก 1 อันกับล๊อตต่อมา เอาไว้ใช้สลับกันเวลาที่ต้องล้างอีกอัน

คู่แฝดด้ามสีเงินคือ Prescriptives ซื้อ 1 แถม 1 มีที่มาที่ไปเล่าไว้ตรงนี้ค่ะ http://oohsfriends.blogspot.com/2009/07/marvelous-customer-services.html คู่แฝด Prescriptives คู่นี้ หัวแปรงค่อนข้างใหญ่ จะเอามา Stippling ลงรองพื้นค่อนข้างยาก เอาไว้ลงแป้งทั่วๆ ไป หรือพวก finishing powder จะดีกว่าค่ะ

อีกอันคือ M·A·C 187 ซื้อจากเคาน์เต้อร์ M·A·C เป็นแปรงนางเอกที่ใครๆ ก็หลงรักและพูดถึงมากที่สุดว่าเป็น must have ของสตรีทุกนาง อิชั้นก็เลยต้อง “แฮฟ” จะได้ไม่ตกเทรนด์ 555 ไปซื้อมาจากเค้าน์เต้อร์เลยค่ะ ใชแล้วก็..อืม…แบบ… มันก็ “ครือๆ” กันค่ะ

อันล่างสุด เป็นสกั๊งค์น้องเล็กที่อิชั้นมีค่ะ เป็นแปรงเอนกประสงค์ที่ good for almost everything; blending, highlighting, contouring, and all over application เลยนะคะ ต้องบอกว่า “เลิ้บ” ค่ะ คว้าใช้ทุกครั้งที่แต่งหน้า ลงบรอนเซ่อร์ ไฮไล้ท์ แต่ไม่ใช่งานใหญ่แบบลงแป้งทั่วหน้านะคะ คงต้องปัดกัน “ง่อย” เลย 5555

อิชั้นชอบใช้ bronzer ไม่ค่อยทาบลัชออน นานๆ เอามาปัดที ไอ้แปรสกั๊งค์งพวกนี้ปัดออกมาสวยทีเดียว ใช้เวลาทาบลัชก็ไม่หนาหนัก-แดงเป็นตูดลิง แถมใช้ลงรองพื้นแบบลิควิดได้เริ่ดเนียนเด้งขนาดที่เรียกว่า Airbrush Finish เลยทีเดียว วิธีทีอิชั้นใช้เวลาลงลิควิดฟาวเดชั่น ก็คือการ Stippling โดยใช้ปลายขนสีขาวแตะรองพื้นเพียงเบาๆ แต่ให้ทั่วถึงทั้งหน้าแปรง แล้วเอามาแตะๆ ทิ่มๆ จิ้มๆ ที่หนังหน้าให้ทั่ว แล้วเอาแปรงเดียวกันนั่นแหละ วนๆ เบาๆ ช่วยให้รองพื้นดูไม่หนาหนักค่ะ แล้วไอ้แปรงพวกนี้ใช้ลงแป้งทั้งหลาย ไม่ว่า loose powder หรือ pressed powder ได้งามด้วยนะคะ ประโยชน์เยอะ มีไว้หลายๆ อัน ไม่เสียหลายค่ะ เพราะลงรองพื้นแล้วก็ต้องล้างทุกครั้ง จะได้มีสำรองไว้ลงแป้งหรือลงรองพื้นในวันถัดไป ถ้าแปรงนั้นแห้งไม่ทัน

ถ้าจะให้สรุปว่ารักแปรงสกั๊งค์อันไหนมากกว่ากัน ตอบยากค่ะ เพราะทุกๆ แปรงจากรูป คุณภาพเท่าๆ กันเลย ถึงแม้จะต่างราคา ต่างยี่ห้อ จะแตกต่างกันก็ขนาดของพุ่มแปรงใหญ่เล็กต่างกันนิดหน่อย และลักษณะของด้ามจับ สั้นยาวไม่เท่ากัน

กลุ่มนี้เป็น contour and shading brushes ถือว่าเป็นแปรงที่ใช้ทุกครั้งที่แต่งหน้าเลยค่ะ สองอันแรกคือ แปรงศิลปะ (พูดถึงข้างบนค่ะ) ถือว่าพอใช้ได้เลยค่ะ

ต่อมาเป็น นังนาร์ Nars - Yachiyo Brush #27 (Kabuki Artisan Brushes) อยู่กันมาหลายปีแล้ว เคยเป็นแปรงที่ใช้บ่อยมาก แต่มันค่อนข้างจะ scratchy นิดๆ นะคะ ใช้ลงบลัช บรอนเซ่อร์ คอนทัวร์ ไฮไล้ท์ ปัดแป้ง ฯลฯ เอนกประสงค์มากๆ พอแก่ตัวลงดูเหมือนจะแยกร่าง ไอ้ที่พันๆ อยู่ชักจะหลวมๆ เหมือนจะหลุด เลยเอาเข้าพิพิธภัณฑ์แปรงของอิชั้นไป ต้องยอมให้ปลดเกษียรไปซะ

ต่อมาเป็นนิกซ์ NYX ไม่มีอะไรต้องพูดถึงค่ะ แปรงอันนี้คุณภาพแย่มาก ไม่ประทับใจ ถึงจะราคาถูกก็เสียดายตังค์ค่ะ

แปรงถัดมาคือ M.A.C 109 - Small Contour Brush เป็นแปรงสุดรักอีกอันนึงค่ะ อันนี้เป็นแปรงที่ซื้อจากเคาน์เต้อร์ M·A·C หยิบมาใช้บ่อยมาก เป็นอีกแปรงนึงที่สารพัดประโยชน์ ใช้ทำคอนทัวร์และเฉดดิ้งได้ ปัดแก้มได้ ลงรองพื้นแบบลิควิดได้งามมากด้วย ทำสะอาดปัดกวาดส่วนเกินผงชาโด้ว์ใต้ตาและแก้มได้ แรกๆ ขนร่วงทุกทีที่ใช้ ไม่รู้ว่าได้ดีเฟ็คมาหรือป่าว ว่าจะไปคืนหรือแลกเอาอันใหม่มา ก็ใช้ๆๆๆๆๆ จนลืมเรื่องเอาไปคืน สุดท้าย..อยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้ ใช้มาใช้ไป ขนก็เลิกร่วงแล้วค่ะ ขนนุ่มแน่นแบบพอดี๊…พอดี ชอบๆๆๆ

แปรงนกสองหัวอันต่อมา เป็นของ Essence of BEAUTY คุณภาพ “เริ่ด” ทั้ง 2 หัว ไอ้ที่ตัดเฉียงคุณภาพพอๆ กับแม๊ค 168 เลยค่ะ ส่วนไอ้หัวจุกอีกข้างก็เริ่ดมากมาย เหมือนแม๊ค 109 แต่ขนาดเล็กกว่า แปรงนี้ต้องบอกว่า recommended มากๆ ค่ะ

นังพ๊อชด้ามแดง ไม่โปรดเลย คุณภาพงั้นๆ เลยไม่ค่อยได้ใช้ จะเอามาปัดกวาดเก็บฝุ่นใต้ตาบ้าง (โปรดสังเกต นังพวกด้ามแดงของ POSH ไม่ประทับใจอิชั้นเลยค่ะ เข้ากรุไปซะเกือบทั้งหมด)

ต่อมาเป็นแปรง M·A·C 168 อันนี้ก็พอใช้ได้ค่ะ แต่สู้ Sonia Kashuk - Angled Contour Blusher Brush ไม่ได้เลย กลายเป็นแปรงลงบลัชแบบนางรองๆ ไปค่ะ ก็หยิบมาใช้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ขวัญใจ

แท่น…แทน…แท๊นนนน….. มาแร้วววว…แปรงนางเอกของอิชั้น แปรงเลิ๊บสุด อันดับ 1 ของอิชั้นเลยค่ะ มันคือ Sonia Kashuk - Angled Contour Blusher Brush ขนนุ่มมาก ความแน่นพอดีมากๆ ความยาวของขนและมุมการตัดเฉียงก็พอดีเหมาะเจาะ ใช้ทำเฉดดิ้งได้ดี ลงบรอนเซ่อร์ได้อย่างใจ แปรงแบบนี้ใช้ได้สารพัดประโยชน์เหมือนกันนะคะ  ราคากลางๆ ค่ะ ไม่ถูกไม่แพง ชอบมากจนอยากไปลากมาอีก 5555 ไปTarget ทีไร ก็เห็นหมดทุกที ซื้อมาเพิ่มแน่นอนค่ะ แรกๆ ขนร่วงนิดหน่อย หลังๆ อยู่ตัวอยุ่ที่อยู่ทาง ไม่ร่วงแล้วค่ะ แปรงอะไรไม่รู้ ดี๊ดี 55555 เลิ๊บๆ

มาถึงอันสุดท้ายเป็น Sonia Kashuk - Synthetic Flat Blusher Brush เป็นแปรงยี่ห้อ Sonia Kashuk อันแรกที่ซื้อเลยค่ะ ซื้อจาก Target ขนเป็น synthetic taklon ซื้อเพราะเห็นเป็นหัวตัดตรง กะว่าจะเอามาบั๊ฟ MMU ขนนุ่มละเอียดและแน่นมาก บั๊ฟจนกล้ามขึ้น กว่าจะวนทั่วหน้า ผิดหวังอย่างแรง ขนนุ่มจนย้วย ความที่ขนนุ่มมากเลยแพ๊คมาซะแน่น ไม่รู้ว่าเหมาะจะใช้กับอะไร ไม่โปรดเลย ลองใช้บั๊ฟฟ์ MMU ก็พุ่มแปรงเล็กนิดนึง ถู ฝน วน จนเมื่อยจั๊กกะแร้แหละ..กว่าจะบั๊ฟทั่วหน้าบานๆ ของอิชั้น ไม่เวิ๊ก ไม่เวิ๊กกกก… เข้ากรุไป

IMG_2252-s copy

มาถึงแปรง Crease หรือที่ใช้แต่งแต้มตรงที่ค่อนข้าง precise มากหน่อย อันแรกเลยเป็นแปรงเก่าแก่รุ่นแรกๆ ที่มีในครอบครอง เป็นแปรงนิรนาม 555 ใช้และเลิ๊บมาตลอด ใช้เวลาเขียนอายไลเน่อร์ ขนแปรงจิ๋วมาก ความดีดพอดีๆ ค่ะ

สองอันต่อมาเป็นคู่แฝด Black Pointed Crease จาก CoastalScents ขนาดของขนแปรงพอเหมาะกับงาน แต่ขนค่อนข้างแข็ง อิชั้นใช้เวลาที่เอาดินสอเขียนขอบตาแล้วก็เอาแปรงนี้แตะอายชาโด้ว์ฝุ่น แล้วเขียนทับรอยดินสอ เพื่อ “เซ็ต” ให้ไม่เยิ้มเป็นหมีแพนด้าค่ะ เนื่องจากขนแปรงค่อนข้างแข็ง ก็เลยไม่ค่อยใช้ เจ็บง่ะ

คู่ต่อมาเป็น Italian Badger Round Crease Brush ทำเบรนดิ้งก็พอได้ ทำสมัจด์ก็ได้ ขนนุ่มแน่นพอดีๆ ถือว่าพอใช้ได้ แต่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร ไม่มีก็ได้ ไม่ต้องดิ้นรนไปซื้อหามาค่ะ

สี่อันต่อมา ไม่บอกคงไม่เชื่อว่าเป็นแปรงชนิดเดียวกัน 5555 มีอยู่อันนึงที่ส่วนขนแปรงพุ่มใหญ่กว่าใครเพื่อน เป็นแปรง หัวจิ๋ว ขนเฟิร์มแต่นุ่ม แน่น ไม่ระคายเคือง ยี่ห้อ Essence of BEAUTY ถูกและดีมีในโลกค่ะ 555 ใช้ทำ smudge ดีมากๆ ทีแรกมีอันเดียวค่ะ ด้วยความที่ถูกใจเหลือเกิน ไปซื้อมาเพิ่มทีละอัน พอมาถึงบ้านเป็นงงๆ เอ๊ะ ทำไมมันไม่เท่ากัน 555 แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ใช้งานได้เหมือนกัน ด้ามแปรงไม่ยาวมาก แต่งตาใกล้ๆ กระจกได้สบายๆ เป็นอีกแปรงค่ะ ที่อิชั้นแนะนำ ของเค้าดีจริงๆ

คราวนี้ก็มาถึงแปรงแต่งตาที่ขาดไม่ได้ มีเรียกกันหลายชื่อ Smudge brush บ้าง Shadow Brush บ้าง ฯลฯ มันจะเรียกอะไรก็ช่างเถอะเน๊าะ แปรงพวกนี้เป็นแปรงขนสั้น ตัดแต่งโค้งเป็นรูปโดม ใหญ่-เล็ก หนา-บาง กว้าง-แคบ ต่างกันไป แปรงพวกนี้เอาไว้ แตะ ปาด ทา ถู ไถ eye shadow ค่ะ เลือกใช้กันให้เหมาะ สองอันแรกที่มีเป็นไอ้ดำก้านยาวที่สุด เรียกว่าแก่ชรามาด้วยกันเลย จากนั้นก็หามาเพิ่มเติมทีละอัน จนมีเป็นฝูงอย่างที่เห็น เป็นแปรงที่ใช้ง่ายเวลาแต่งตา แปรง POSH อันนี้เป็นอันเดียวที่ใช้คำว่า “ชอบ” ไอ้เจ้า mark ก็ปุ้มปุ้ยดี แต่ไม่ใหญ่มาก ใช้ง่าย ขนนุ่ม ราคาถูก แปรงสำหรับงานนี้ ถ้าไม่แข็งโป๊ก ก็ใช้ได้ดีค่ะ

คราวนี้มาถึง Blending brushes ค่ะ ชอบที่สุดเป็นอันล่างสุดค่ะ Essence of BEAUTY อีกแร้วววววว…… ต้องบอกว่าอันนี้ “ถูกและเริ่ด” คู่สีดำ Stiff Tapered Crease Eye Brush จาก  (Comparable to MAC 226 - เปรียบเทียบกะอีแม๊คอีกแระ 5555) ก็พอใช้ได้ค่ะ ส่วน e.l.f อันละ 1 เหรียญ ก็พอใช้ได้เหมือนกันค่ะ เจ้า Blending Fluff ของ CoastalScents (อันใหญ่สุด) ก็ใช้งานได้ดีค่ะ ไอ้อันที่ 2 ด้ามยาวผอมสีดำ นั่นเป็นแบบแบนๆ ของเก่าคู่บุญ ก็เริ่ดไม่แพ้ใคร ทนทานจริงๆ พวกเบลนดิ้งบรัชนี่ไม่ต้องคิดเยอะค่ะ เอาที่นุ่มๆ ฟูๆ หน่อย ขนาดพอเหมาะ ถูกแพงใช้ได้เหมือนกันหมด เรื่องเบลนด์มันอยู่ที่ฝีมือ 5555 ซื้อมาแพงๆ แต่ไร้ฝีมือ อะไรก็คงไม่ช่วย อิชั้นก็ถูไถใช้ไปเรื่อยๆ ค่ะ และยังคงต้องฝึกฝนต่อไปค่ะ

รูปนี้เป็นแปรงต่างๆ กันไป มีทั้ง Push Eyeliner Brush คือ 3 อันแรกเลย สีแดงเป็นแปรงศิลปะราคาถูก หางานใช้ให้เหมาะไม่ได้ เอามาลองเป็น push brush ก็ไม่เวิ๊ก แปรง push brush ของ Nars ก็ ไม่ค่อยดี กว้างไปหน่อย ไม่ถนัด อันที่ 3 แปรงนิรนามรุ่นบรรพกาล อันนี้เริ่ดสุด ถนัดมือ เลิ้บค่ะ ที่ปนๆ กันมาก็มีแปรงคิ้วของแม๊ค ซึ่งอิชั้นไม่ค่อยได้เอามาใช้ แปรงอายไลเน่อร์ของ CoastalScents ค่ะ ลองใช้เท่าไหร่ก็ไม่ยอมเชี่ยวชาญค่ะ กับการใช้เจลไลเน่อร์ ก็เป็นอันว่าไม่ค่อยได้เอามาใช้ แล้วก็มีแปรงคอนซีลเล่อร์ หลากหลายที่อิชั้นไม่ค่อยแตะต้อง หางานอย่างอื่นให้ทำก็ยังหาที่เหมาะไม่เจอค่ะ ก็เลยขยับเข้าไปไว้ในกรุซะก่อน 5555

พวกนี้เป็นแปรงปุ้มปุ้ย หรือที่เรียกอย่างสากลคือ Kabuki Brushes ค่ะ ที่เห็นจะเป็นของ elf เกือบทั้งหมด คือลองซื้อมาใช้ 1 อัน พอชอบก็เลยสั่งมาเพิ่ม ตอนเค้าลดราคาและมีโปรไม่เสียค่าส่ง สุดคุ้มมมมม…. มีอยู่ 1 อันที่เป็นขนยาวสำหรับใช้ปัดทั่วร่างกาย ซื้อมาไม่เคยใช้ 555 เดิมทีมี คาบูกิบรัชของ POSH อยู่ พอได้พวก elf มา ลองใช้เห็นความต่าง บั๊ฟได้เรียบเนียนเร็วดี เลยยกพ๊อชให้ลูกไป หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ส่วน Retractable Kabuki ของ mark 2 อันนั่น ถือเป็นคาบูกิบรัช 2 อันแรกที่มี เป็นแปรงของม๊าร์คที่คุณภาพดีมากๆ และราคาถูกปู้ดๆ ใช้พกพาโยนใส่กระเป๋ากลิ้งไปมาก็ไม่เลอะเทอะ ไม่ต้องหาภาชนะใส่ให้ยุ่งยาก ดูไฮจีนดีค่ะ

มีข้อติสำหรับคาบูกิบรัชอยู่อย่างนึงค่ะ คือมันไม่มีด้ามจับ ไม่ถนัดเลยค่ะว่ะ อิชั้นเก็บแปรงปุ้มปุ้ยพวกนี้ในหลอดยาค่ะ สะดวกเก็บ สะดวกใช้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ค่ะ ไปหาหลอดยามาเร็วๆ ค่ะ

ต่อมาก็มาที่ลิปบลัช ชอบสุดก็ 3 อันแรกค่ะ อันที่ 3 เป็นแปรงคู่บุญ อยู่กันมานานโข หลังๆ ตาชักถั่ว เวลาเสียบแปรงกลับเข้าไป แล้วเล็งไม่ดี ทำเอาขนหัก ขาด บิดๆ เบี้ยวๆ ไปหลายเส้นเลยค่ะ เสียดายมาก เป็นแปรงที่ดีมากๆ ถือว่าเป็น Lip Brush ในดวงใจที่อิชั้นโปรดที่สุด นอกนั้นก็ซื้อมาต่างกรรมต่างวาระ ไอ้ Isomers ก็ใช้ดีนะ ขนแปรงดีเชียวค่ะ เป็นแบบดึงลงแล้วแปรงโผล่ขึ้นข้างบน ใส่กระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยสะดวกดี แต่คิดว่าไม่ค่อยสะอาด เพราะตรงปลายไม่มีฝาปิดค่ะ ส่วน 2 อันบนสุดสีฟ้า เป็นแปรงศิลปะ ทาลิปดีมากๆ เป็น taklon ความดีดสูง แน่นพอดิบพอดี ไม่อมสี ล้างทำความสะอาดง่าย จำได้ว่าซื้อมาแพ๊คละ $2.99 ค่ะ เริ่ดมากกกกกก….. เริ่ดเกินราคา…ขอบอก ใช้ทุกวันเลย อันใหญ่ใช้ทาลิปม๊อยส์เจ้อร์ก่อนนอน อันเล็กใช้ทาลิปสีเวลาแต่งหน้า เป็นแปรงที่รักจริงๆ นะคะ

IMG_1552 copy

มาถึงพวกแปรง 2 หัว นังพวกด้ามแดงพ๊อช ได้ยกให้ลูกสาวเอาไปเล่นนานแล้ว ไม่ชอบเลยค่ะ ส่วนด้ามดำคู่บน ไม่ค่อยได้พูดถึง ซื้อมาจาก CVS ราคาถูกมาก แต่คุณภาพดีมากกกกกกกกกกกกกก….. เจ้ขอแนะนำให้ไปหามาใช้กัน คู่นี้เอาใส่กระเป๋าไว้เวลาเดินทาง แต่ไม่ยักกะได้ไปไหนเหมือนใครเค้า เลยลากออกมาไว้ใช้ตามปกติค่ะ

IMG_1555-1 copy

มาถึงแปรงศิลปะราคาถูก ที่พูดถึงอยู่เรื่อยๆ เอารูปมาแปะให้ดูค่ะ แพ๊คละ 4 และ 6 อัน ราคาไม่เกิน 3 เหรียญทั้ง 2 แพ๊คค่ะ ชุดด้ามสีฟ้า เริ่ดดดดด…มาก นี่คือ Lip Brush ที่อิชั้นชอบมากกกกกก… พูดไว้ข้างบนแล้ว ส่วนด้ามสามเหลี่ยมหลากสี เคยใช้แต่ไอ้อันใหญ่สุดด้ามแดง ตอนทาโฮมเมดมาส์ก ก็เวิ๊กดีนะคะ แต่ไม่ได้ทำบ่อยๆ นานๆ จะนึกออกซะที เพราะมีมาส์กสำเร็จรูปเข้าคิวให้ใช้อยู่เต็มเลยค่ะ

page-279 copy

จริงๆ มีแปรงอีกหลายอัน แต่ไม่ค่อยน่าสนใจ มี Travel Set อยู่ 3-4 เซ็ต ส่วนมากเป็นของแถม มีเซ็ตที่ซื้อแล้วไม่ชอบเลยก็ของ POSH ส่วนชุดของ mark ชุดนี้ราคาถูกมากๆ และขนแปรงดีทีเดียว ปัจจุบันเป็นของเล่นของลูกไปแล้ว ที่เอาเทปลายหัวใจพันรอบๆ ปลอกแปรงไว้ เพราะเวลาตกหล่นจากโต๊ะจะได้มองเห็นค่ะ บางทีหาไม่เจอ เพราะตาไม่ค่อยดี อะไรใสๆ หล่นไปก็ไม่ต้องหากัน ส่วนกระเป๋าแปรงจาก mark เช่นกัน วัสดุดีมาก ราคาไม่แพงเช่นกัน mark มีโปรโมชั่น free shipping บ่อยมาก ซื้อครบ 25 เหรียญ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าส่งแล้วค่ะ แต่ไม่เคยใช้เมคอัพของเค้าว่าคุณภาพเป็นยังไง ซื้อของจาก mark ไม่กี่ครั้งหรอกค่ะ ส่วนมากก็เป็นแปรงที่เห็นนี่แหละค่ะ

คราวนี้ก็มาถึงวิธีดูแลบรัชทั้งหลายของอิชั้น เริ่มด้วยการเก็บ ก็เอากระป๋องกระแป๋งที่หาได้ แล้วเอาแกนทิชชู่มาเสียบใส่ให้พอเหมาะ ถ้ามันกว้างมากๆ ก็ตัดเอาขวดน้ำมายัดๆ แปรงมันจะได้ไม่ล้มค่ะ อิชั้นใช้วิธีนี้กับที่ใส่ปากกาดินสอด้วยค่ะ บางทีขวดโหล ไห โอ่ง ที่เราเจอน่ารัก มันก็กว้างจนเสียบอะไรไม่ได้ เทคนิคนี้ช่วยได้ค่ะ

page-brush-01 copy

นานมาแล้วอิชั้นเห่อกับสินค้าตัวหนึ่ง เป็นสินค้าเพื่อแปรงที่คุณรัก ชื่อว่า Brush Guard ลงทุนเลยค่ะ ลากซื้อมาหลายแพ๊ค เอามาเสีบย มาสวม เพื่อปกป้องแปรงที่รักยิ่งของอิชั้น พอใช้ไปได้พักนึง แปรงพังหมดเลยค่ะ เป็นเพราะอะไรน๊าาา… เพราะแรงดึงดูดของโลก (โทษธรรมชาติ 555) เพราะการหยิบแปรงมาใช้ หยิบเข้า-หยิบออก มือไม้ไปรูดร่นให้ไปไอ้การ์ดนั่นไหลลงโดนไม่ได้ตั้งใจ พอนานๆ ไป หยิบแปรงมาใช้ เอ๊ะ…ทำไมแปรง ขนหัก หมดเลย ไม่ว่าไอ้การ์ดนั่นจะแน่นพอดิบพอดีแค่ไหน มันก็ไหลลงได้ค่ะ สุดท้ายเลยต้องเอาไอ้การ์ดเก็บไปแบบลืมกันไปเลยจะดีกว่า จะมีก็เอาไอ้ขนาดจัมโบ้ไว้ข้างนอก เพราะเวลาล้างแปรงปุ้มปุ้ยแล้วเอาตั้งไว้ (น้ำจะได้ไม่ไปทำความเสียหายให้กับกาวในตัวแปรงค่ะ) มีประโยชน์แค่นั้นจริงๆ เค้าโวว่ามันดีไปซะทุกอย่าง ใช้เก็บรักษาแปรงให้คงสภาพ ใช้ได้แม้แต่กับแปรงรูปร่างประหลาดๆ ใช้เวลาเดินทาง ฯลฯ สารพัดมหัศจรรย์มากกก… เฮ้อออ… เวลาอิชั้นจะไปไหนๆ (ซึ่งไม่ค่อยได้ไปนิ 555) ก็เอาแปรงที่คิดว่าจำเป็นใช้ใส่กระเป๋าแปรงแบบม้วนๆ มี slots ใส่แปรง มีแผ่นๆ มาปิดด้านบนส่วนขนแปรงก่อนม้วนค่ะ แปรงทุกอันเดินทางปลอดภัยกันดีทุกครั้ง มาดูรูปค่ะ Pictures tell all!

page-brush-02 copy

มาถึงเทคนิควิธีการตากแปรงแต่งหน้าที่อิชั้นอยากจะแชร์ค่ะ อิชั้นได้ลองทำมาแล้วมากมายหลายวิธี แขวน ห้อย วาง เสียบ ฯลฯ สารพัดวิธีจริงๆ นะคะ ที่อิชั้นลองมา สุดท้ายมาเจอวิธีนี้เข้า ชะงัดเลยค่ะ ช่างง่ายดาย เวิ๊กมาก ดูรูปแล้วใครๆ ก็ทำได้ วัสดุหาง่าย ทุกบ้านมี เริ่มต้นเลย หากระป๋องมา 1 อัน จะเป็นโลหะ พาสติก สี่เหลี่ยม วงกลม หรือกล่องอะไรก็ได้ค่ะ หาที่ขนาดพอเหมาะ จากนั้นก็เอาผ้าขนหนูค่ะ มาม้วนๆ ใส่ ตอนที่ไอเดียเกิด อิชั้นมีแผ่นฟองน้ำอยู่หน่อยนึง เลยเอาแผ่นฟองน้ำมาม้วนๆ ใส่กระป๋องดู ปรากฏว่ามีฟองน้ำไม่พอมันเลยหลวมไปหน่อย เกือบจะสิ้นหวังเลยค่ะ พอดีนึกถึง kitchen towel เอามาห่อฟองน้ำอีก มันก็อ้วนไม่พอ ก็เลยไปลองเอาผ้าขนหนูที่ใช้ในครัวมาค่ะ พับให้กว้างเท่ากับกระป๋อง แล้วก็ม้วนๆ จับยัดเข้าไปในกระป๋อง พอเราล้างแปรงเสร็จก็เอามาเสียบๆๆๆ วางกระป๋องตะแคงข้าง กดให้หัวแปรง tilt ลงนิดๆ นะคะ น้ำจะได้ไม่ไหลซึมย้อนเข้าไปในหัวแปรงค่ะ (ยังคาใจ ..ว่า… ถ้ามีแผ่นฟองน้ำ คงจะดีกว่านี้แน่ๆ ถ้าใครมีแผ่นฟองน้ำก็ลองดูนะคะ ดัดแปลงกันไปค่ะ อาจจะมีไอเดียที่บรรเจิดกว่าอิชั้น) เวลาเลิกใช้ก็เอาฝาปิดไว้กันฝุ่นลงผ้าค่ะ

page-brush-03 copy

รูปนี้คือ แปรงค่ะ 555 รูปแรกเป็นรูปแปรงประวัติศาสตร์ค่ะ ขุดออกมาจากรุกรุงเก่าเชียว 5555 ทั้ง 3 ชั้น ใช้มาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา อันแรกจาก Boots สมัยโน้นไม่รู้หรอกเค้าใช้แปรงชนิดไหนทำอะไร ก็ซื้ออันนี้มาเลย ปัดแก้ม ทาแป้ง ได้หมด 5555 อันที่ 2 จาก Body Shop ตอนนั้นใช้บรอนเซ่อร์ที่เป็นเม็ดๆ ของบอดี้ช้อป เค้ายุให้ซื้อก็ซื้อค่ะ จำได้ว่า บอดี้ช้อปเพิ่งเข้ามาเมืองไทยใหม่ๆ เลย เก๋ากึ๊กมาก อันที่ 3 น่าจะเป็นแปรงสำหรับคอนซีลเล่อร์ แต่ไม่รู้หรอก เห็นว่าเหมาะกับทาปาก ก็ซื้อเอามาทาปาก จากไหนก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรจารึกไว้ค่ะ ส่วนรูปล่างเป็นแปรงที่โปรดค่ะ จะเห็นว่าถูกแพงไม่สำคัญ อันไหนถนัดมือ ใช้ได้ดี ก็หยิบใช้บ่อยๆ ค่ะ

ท้ายสุด-สุดท้าย อิชั้นเอามาแบ่งปันกันดู วิเคราะห์ตามความรู้สึก “ชอบ-ไม่ชอบ” ของตัวเอง คุณๆ อาจอ่านเป็นไอเดียก่อนตัดสินใจซื้อหามาใช้ แต่ถ้าหากชอบพอ พึงใจ ไม่เหมือนกัน ก็อย่าโกรธกันนะคะ เพราะ “ลางเนื้อชอบลางยา” และ “นานาจิตตัง” ค่ะ เทคนิคต่างๆ ก็ไม่หวงห้าม นำไปใช้กันได้ค่ะ แปรงซื้อกันมาปพงๆ ก็ต้องรักษา มันจะได้อยู่กับเราไปนานๆ ให้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปค่ะ

Friday, November 13, 2009

Where the Wild Things Are

 

wtwa

ช่วงที่รอมมี่ไปแค้มป์ สามีอิชั้นต้องไปหาหมอเพราะเจ็บป่วยนิดหน่อย เลยลาป่วยซะ 1 วัน อิตาคนนี้ไม่เคยไปทำงานสาย ไม่ค่อยลาป่วย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะไม่ได้เจ็บป่วยหนักหนาอะไร หลังจากพบแพทย์ก็เลยแวะไปช๊อปปิ้งกันนิดหน่อย กินอะไรอร่อยๆ กัน พอจะขับรถกลับบ้านเลยชวนกันไปดูหนังเด็ก (เล็ก) จริงๆ แล้วอิพ่อมันอยากดูเรื่อง Astro Boy ส่วนอิแม่มันอยากให้ไอ้ตี้ดูหนังที่เค้าสร้างจากหนังสือเยาวชนคลาสสิค อิแม่ชนะอยู่แล้ว 5555แถมเป็น Big Fan ของพี่ James Gandolfini (Tony Soprano) ซึ่งเป็นผู้ให้เสียงไอ้สัตว์ประหลาดที่มีบทนำ ชื่อ Carol ในเรื่องนี้ด้วย (ไอ้เอสโตรบอยเนี่ย ใช่ที่เป็นหนังการ์ตูนทีวีที่ดูกันตอนเด็กๆ เรื่องเจ้าหนูปรมาณู ที่มีสิงโตผู้ช่วยชื่อลีโอ ใช่หรือปล่าวพี่อ้วน…. ช่วยตอบที)

where-the-wild-things-are

Where the Wild Things Are เป็นหนังสือที่เด็กๆ ทั่วโลกได้อ่าน ไม่ว่าจะอ่านที่บ้านหรือที่โรงเรียน หลายๆ แม่ดิ้นรนซื้อหามาให้ลูกได้อ่าน ได้มีในครอบครอง กลัวลูกจะตกเทรนด์ กลัวว่าตัวเองจะเป็นแม่ไม่มีรสนิยมวิไล กลัวว่าจะเป็นแม่ประเภท uneducated 5555 เลยต้องพากันซื้อหน้งสือ classic & well-known children books อย่างพวกหนังสือของ Dr. Seuss ที่เป็น Bestselling of all time 555 เช่น Green Eggs and Ham, The Cat in the Hat, and One Fish Two Fish Red Fish Blue Fish เป็นต้น หลายๆ แม่ value การอ่าน หลายๆ แม่ซื้อมาไว้ประดับบ้านและตู้หนังสือเพื่อเสริมบารมี อิชั้นเป็นแม่ที่ส่งเสริมการอ่าน แต่ทุนทรัพย์มีน้อย อันไหนพอซื้อได้ก็จะซื้อ ถ้าแพง…ก็ฝัลลลล์…ไปเถอะลูก หนังสือที่จะซื้อให้ลูก อิชั้นต้องสกรีนก่อน หนึ่งปัจจัยในหลายๆ ปัจจัยที่อิชั้นนำมาร่วมตัดสินเวลาซื้อหนังสือให้ลูกคือ รูปภาพสวย เจริญหูเจริญตา นอกเหนือไปจาก เนื้อหา แง่คิด คุณภาพ และราคาเป็นลำดับต้นๆ เพราะฉะนั้นบ้านเราไม่มีหนังสือ Where the Wild Things Are และ Dr. Seuss’s Bestselling books แน่นอน รูปภาพและคุณภาพมันไม่สวยงามเอาเลยเชียว แต่ไม่ต้องกลัวว่าลูกสุดที่รักของอิชั้นจะพลาดหนังสือพวกนี้ เพราะมีให้เห็น ให้อ่าน ได้ทุกโรงเรียน ทุกห้องสมุด หรือบางทีพบได้ตามคลีนิคต่างๆ ด้วย โชคดีที่ลูกชอบอ่านหนังสือ ทริปช้อปปิ้งที่ลูกชอบและใช้เวลาอยู่ได้นานๆ คือ ร้านหนังสือ Borders รองลงมาคือ Barnes & Noble และอนุญาตให้ซื้อหนังสือได้ 1-2 เล่มเท่านั้น เพราะแม่…บ่อจี๊ 5555

where-the-wild-things-are-poster-1

ด้วยสติปัญญาที่อิชั้นมีอยู่บ้าง….เท่าที่มีนั่นแหละ 555 กับไอ้หนังสือที่กล่าวข้างต้น (โดยเฉพาะของด๊อกเต้อร์ซู้สส์) ดิฉันได้อ่าน แล้ววิเคระห์ตามอำเภอใจและอิงหลักวิชาการ (Analytical Reading ที่เล่าเรียนมา 555) หรือในแง่จิตวิเคราะห์ เนื้อหา คุณประโยชน์ psychology หรือ symbolism พออ่านแต่ละเล่มจบแล้ว มันไม่ให้แง่คิดดีๆ สร้างสรรค์ หรือ ให้แง่คิด แบบ… นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 555 ที่เด็กๆ จะได้บ้างก็คือคำคล้องจองรูปและเสียง rhymes แต่ความคิดและมุมมองของคนเราต่างกัน ไทย จีน แขก ฝรั่งก็คิดต่างกัน อิชั้นคิดว่าฝรั่งให้ความสำคัญถึงเรื่องจินตนาการ เพ้อฝันมากกว่าคนไทย ที่เน้น เหตุและผล คุณและโทษ มากกว่า อิชั้นอ่านไอ้หนังสือ Where the Wild Things Are แล้วก็ได้แค่ There’s nothing really, Max, he’s just a problem child..!! Please don’t take it personal…it’s just my opinion. นะคะ

wildthings

จากหนังสือ รูปและเรื่อง ไม่น่าสนใจเลยสำหรับอิชั้น แต่สำหรับเด็กๆ อิชั้นไม่ทราบ นอกจากเด็กโตที่บ้าน ซึ่งได้อ่านนิทานเล่มนี้หลายรอบ คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่เห็นสนุกเลย” 5555 พอถามว่าอยากดูที่เค้าทำเป็นหนังมั๊ย แม่จะพาไปดู คำตอบที่ได้คือ “Nah ah” ที่อิชั้นพาไอ้ตัวเล็กไปดูก็เพราะคิดว่าลูกอาจชอบหรือสนใจ ปรากฏว่า… ไอ้ตี้ไม่หันไปมองจอหนังเลย สนุกสนานกับเก้าอี้ที่พับได้ เอ็นจอยข้าวโพดคั่วและเครื่องดื่ม เล่น armrest ที่พับขึ้นลงได้ เดินเล่นไปมา ไม่หลับเลย เจ้าก๊อตตี้ไม่ได้ก่อกวนผู้ชมคนอื่นๆ ในโรงเหนังเลย ลูกไม่ได้ส่งเสียงดังอะไร แล้ววันนั้นเป็นวันจ้นทร์ โรงหนังโล่งโจ้ง มีอีกครอบครัวนึง แม่กับลูกรุ่นจิ๋ว รวมแล้วหนังรอบนั้นมีผู้ชมแค่ 7 คน รวมเรา 3 คนพ่อแม่ลูกด้วยนะ ส่วนอิพ่อมันหลับกรนคร่อกตั้งแต่กลางๆ เรื่องจนจบ อิแม่มันก็ดูๆ ไปงั้นๆ ชื่นชมงานสร้างเค้า เป็น production ที่ใช้ได้ทีเดียว คอสตูม ตัวสัตว์ประหลาดทั้งหลายทำรายละเอียดได้ดี ขนเกรอะกรัง รุงรัง ดูสกปรก มองแล้วน่าจะเหม็นสาป มีจมูกชื้นๆ เหมือนหมูหมาแมวจริงๆ บางทีมีขี้มูกไหล ตา จมูก ปาก ขยับเขยื่อน ได้เหมือนจริง แต่มาสะดุดตาสะดุดใจกับ 1 ตัวละคร 555 ขอขำก่อน 555 เจ้าตัวนั้นคือ The Bull เป็นตัวที่ชอบ isolated จากกลุ่มตลอด แต่ก็ตามๆ เค้าไปนะ ทำอะไรก็ทำด้วย เงียบๆ สังเกตการณ์ observed จนเหมือน antisocial ไม่มีบทพูดจา เหมือนใครคนหนึ่งที่อิชั้นรู้จักเป็นอย่างดี กร๊ากกก……ผัวของอิชั้นเองเจ้าค่าาา…. 55555

where-the-wild-things-are-posters

“Where the Wild Things Are” is a 1963 children's picture book by American writer and illustrator Maurice Sendak, originally published by Harper & Row. The book has been adapted into other media several times, including an animated short, an opera, and, in 2009, a live-action feature film adaptation and video game. As of 2008, the book has sold over 19 million copies worldwide according to HarperCollins.

Plot : The book tells the story of Max, who one evening plays around his home, "making mischief" in a wolf costume. As punishment, his mother sends him to bed without supper. In his room, a mysterious, wild forest and sea grows out of his imagination, and Max sails to the land of the Wild Things. The Wild Things are fearsome-looking monsters, but Max conquers them "by staring into their yellow eyes without blinking once", and he is made "the King of all Wild Things", dancing with the monsters in a "wild rumpus". He soon finds himself lonely and homesick, and he returns home to his bedroom, where he finds his supper waiting for him, still hot.

THANKS >> http://en.wikipedia.org/wiki/Where_the_Wild_Things_Are

Monday, November 09, 2009

Seafood Cocktails Wah Ha Ha

 

IMG_1310-s

กลับเข้าครัวกันนิดนึงนะคะ แม่บ้านหลังยาวไม่ค่อยได้ทำกับข้าวเลี้ยงลูกผัวบ่อยๆ หรอกค่ะ และเมนูนี้เด็กๆ ก็ไม่ทานกัน 5555 มันมีเหตุมาจากซะมีของอิชั้นเค้าได้ตำรับมาจากเพื่อนร่วมงานชาวเม๊กซิกัน เพราะคุณเมียชอบรับทาน กุ้งคอคเทลส์ ซีฟู้ดคอคเทลส์ ทุกครั้งเวลาไปทานอาหารเม๊กซิกัน เลยอยากให้อิชั้นลองทำทานเองดู ซึ่งมันก็ง่ายแสนง่าย ไม่ต้องต้มหุง หั่นๆ สับๆ โยนใส่หม้อ คนๆ เสร็จแระ ทานได้เลย

สูตรที่ไอ้พวกผู้ชายจดให้กันมาเป็นอะไรที่น่าขำมากๆ ทุกเครื่องปรุง บอกยี่ห้อ และสถานที่ซื้อหาพร้อมราคาด้วยค่ะ การชั่งตวงวัดก็มีหน่วยเป็น กระป๋อง ขวด ลูก ฯลฯ เครื่องปรุงมีดังนี้ค่ะ

เครื่องดื่มคอคเทลน้ำมะเขือเทศยี่ห้อตามรูปเลยค่ะ จำนวน 2 ขวด

กุ้งฝอยต้มสุกที่เค้าใส่สลัดต่างๆ 2 แพ๊ค

ปูอัด 1 แพ๊ค

หอยสับ 2 กระป๋อง

หอยนางรม 1 กระป๋อง (อย่าเทน้ำทิ้ง เท juice ใส่ลงไปด้วย)

อะโวคาโด้ (ห่ามๆ ไม่สุกนิ่ม หั่นเต๋า) 4 ผล

แตงกวา 2 ลูก (อิชั้นปอกผ่าสี่แล้วเอาเม็ดออก จากนั้นหั่นเต๋าค่ะ)

มะเขือเทศ 1 ปอนด์ (อิชั้นเอาเม็ดออกและหั่นเต๋าเช่นกันค่ะ)

ผักชี 1 กำ (ล้างสะอาด หั่น)

หอมใหญ่ 1 หัวใหญ่ (หั่นเต๋าจิ๋วๆ)

page-289 

หลังจาก ล้าง หั่น สับ ซอย เครื่องปรุงต่างๆ เสร็จแล้ว ก็แทบจะเรียกว่าเสร็จแล้วหล่ะค่ะ แต่อิชั้นรู้สึกไม่ค่อย “ชัวร์” กับการเทโน่นนี่จากกระป๋องแล้วรับทานเลย ก็เลยขอลวกๆ ต้มๆ มันซะทุกอย่าง (ยกเว้นพืชผัก) ทั้งๆ ที่เจ้าของ recipe ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ต้องหุงต้มใดๆ

page-290

จากนั้นก็เทไอ้ 2 ขวดใส่ภาชนะ เทอะไร ต่ออะไร ประดามี ลงไปให้หมด คนๆ ซะหน่อย แช่ตู้เย็นเก็บไว้รับทานค่ะ ถ้าหากมีหมึกยักษ์หั่นใส่ลงไปด้วยก็คงจะโอเคนะเนี่ย 555 พอทำเสร็จแล้วมันช่างมากมายก่ายกอง ทำยังไงจะกินได้หมด เลยตักไปแจกๆ ชาวอินลอว์ซะเยอะเชียวค่ะ สูตรนี้อร่อยใช้ได้ทีเดียว พืชผักกรุบกรอบ รสชาติกลมกล่อมไม่ต้องเติมเครื่องปรุงใดๆ แต่ที่มันเยอะเหลือเกิน ฟาดซะจนหายอยากไปเป็นปีเลยค่ะ ถือว่าประสพความสำเร็จมากในการทำซีฟู้ดคอคเทลส์ครั้งแรกในชีวิตค่ะ

IMG_1313-s

Enjoy Your Days Na Ka…