Wednesday, December 30, 2009

Happy New Year 2010

 

 

happy_new_year_01 

ปีใหม่นี้ ขอให้ทุกคน มีแต่ความสุขกาย สุขใจ ไร้โรคภัยใดๆ เบียดเบียน และร่ำรวยเงินทองกันโดยถ้วนหน้า เถิ้ดดดดดด….. 

happy-new-year

Wishing you good times, good health, good cheer,

and a very Happy New Year !

Happy-New-Year-2010-latest-pic

Gran Torino กับเรื่อง ม้งๆ

น้องซะมี-อีแวว (valerie) เอาแผ่น bootleg ของ Gran Torino มาให้ดูตั้งแต่ตอนที่เพิ่งฉายที่โรง  เห็นบอกเพื่อนให้ยืม ดูแล้ว ชอบๆๆๆๆ ไม่ใช่นักวิจารณ์หนัง (เมื่อก่อนเป็น Movie Critic แบบมีหลักการหน่อยๆ 555 เพราะเรียนมาอยู่บ้าง 555 เดี๋ยวนี้ ติ-ชมแบบส่งเดชอย่างเดียว 555) แต่ต้องเอามาพล่ามซ้ำอีกหน่อยเพราะว่า “ม้ง” เป็นประเด็นร้อนๆ อยู่ตอนนี้ แถมตอนที่บล็อกเรื่องนี้ได้ซักพักนึง โดน “ม้ง” คุกคาม แรงงงงงง……

page-256

เป็นเรื่องเกี่ยวกับ racism ที่แปลกใหม่ในสายตาชาวโลก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก Hmong ฝรั่งหลายคนออกเสียงว่า “ฮะมอง” 5555 ว่าม้งเป็นชนชาติเผ่าใดมาจากจุดไหนของโลกมีวัฒนธรรมการใช้ชีวิตแบบไหน สำหรับอิชั้นนั้นคุ้นเคยพวกฮะมองนี้ดี ถือว่าเป็นม้งเอ๊กสะเปิดก็ยังได้ 555 จริงๆ “ม้ง” ก็คือคนภูเขาบ้านเรานี่เอง ที่เรียกกันติดปากว่า “แม้ว” (อิชั้นเป็นอดีตแฟนเก่าหน่ะตี้ลีเจ็งเค้า 555 ไปหาดูกันได้ในยูทู้บ เรื่อง..ใต้ฟ้าสีคราม) ท่านผู้ชมอยากรู้ลึกเกี่ยวกับเพื่อนร่วมโลกชาวม้งก็ไปอ่านนี่เลย http://en.wikipedia.org/wiki/Hmong_people ส่วนอิชั้นไม่อ่านร๊อก 555 เพราะรู้จริงรู้ลึก มีเพื่อนเป็นม้งแม้วอยู่เยอะแยะ และเฟรสโน่คือเมืองที่มีชาวม้งอพยพอยู่มากที่สุดในโลก มีเถียงกันมีว่าน่าจะมีม้งอพยพอยู่น้อยกว่าที่มินิโซต้า แต่ที่แน่ๆ คือ ทุกๆ สัปดาห์แรกของมกราคม จะเป็นวันปีใหม่ม้ง และมีงาน Hmong International New Year ที่เฟรสโน่ ดูได้ที่นี่เลย http://www.hmongnewyear.us/ เมื่อก่อนไปทุกปีเพื่อหาอะไรรับทาน เนื่องจากเป็นคนรักอาหารตัวจริงจ้า 5555 ตะกละเท่านั้นที่ครองโลก แต่หลังๆ ไม่ค่อยไปแล้ว เพราะมียิงกันบ่อย กลัววิ่งชนลูกปืนหลงจ้า… ลูกอิชั้นยังเล็ก…ชั้นตายไม่ด้ายยยยย….

page-257 ม้งที่เคยเห็นในเมืองไทยหรือแถวๆ เพื่อนบ้าน จะเป็นแบบรูปบนขวามือ แต่รูปอื่นๆ คือม้งเผ่าต่างๆ ด้วยคอสตูมที่ต่างกันในงานปีใหม่ที่เฟรสโน่ พวกคอสตูมจะมีร้านขายเข้าไปแล้วละลานตาดี ม้งที่นี่ไม่เหม็นรัศมีเป็นไมล์ๆ นะคะ คงไม่กัวปี๋น้ำ ปี๋ฟ้า ปี๋นานาชนิดมั๊ง เลยอาบน้ำ ถูขี้ไคล ชะโลมน้ำหอม (หึ่ง) แต่งหน้าแต่งตัวผมเผ้าโกรกย้อมสารพัด ตัด สระ ฉะ เสร็จ 5555 แต่งตัวเปรี๊ยวจี๊ด แต่เหมือนกันไปหมด

งานปีใหม่จะมีม้ง(อพยพ) เดินทางมาจากหลายๆ มุมของโลก เท่าที่ได้เห็นและได้คุยด้วย-บางคนมาจากฝรั่งเศส เบลเยี่ยม และอีกหลายๆ ประเทศในยุโรป เพราะตอนที่สงครามลาวแตก เวียดนามแตก เขมรแตก พวกแม้วอพยพไปอัดกันแน่นตามศูนย์อพยพในประเทศไทย รอว่าโควต้าประเทศที่ 3 มารับไปเลี้ยงตามที่ UN ขอร้อง จะเห็นว่าม้งรุ่นใหม่ที่ไปเกิดโตอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วจะซึมซับชีวิตทันสมัยอย่างมากมายเมื่อเทียบกับม้งแม้วที่เราเคยเห็นตามดอยต่างๆ สิ่งที่เด่นชัดของวัยรุ่นหนุ่มสาวม้งในอเมริกาคือ  การเข้าร่วมแก๊งต่างๆ ปกติปัญหาเรื่องแก๊งแถวๆ นี้ก็จะมีมากอยู่แล้ว (น่ากลัวนะคะ) นอกจากแก๊งไอ้ดำ แก๊งไอ้เม๊ก (ซิกัน) ก็มีแก๊งเอเซี่ยน (ม้งเป็นส่วนใหญ่ รองมาคือ แก๊งเขมร แก๊งเวียด และแก๊งลาว) อย่างที่บอกว่าพอไปงานปีใหม่ก็มองซ้ายมองขวาให้ดี แก๊งสะเต้อมันจะตีกัน ยิงกัน เดี๋ยวพลัดหลงไปอยู่กลางห่ากระสุนจะเดือดร้อน 5555 จะพูดเรื่องหนังไหงมาพล่ามเรื่อง ฮะมอง 55555

ในหนังแก๊งม้ง (ความเตี้ยสั้นเป็นเอกลักษณ์มาก เห็นหน้าตาก็แบบ ใช่เลย ของจริงแท้แน่นอน 5555) ถูกปราบด้วยตาเฒ่า white American ทหารผ่านศึก (คลิ๊นท์ อีสต์วู้ด) เริ่มแบบ It ain’t White, it ain’t Right! ทำนองนั้น ตอนหลังแกมาเข้าใจหนุ่มน้อยม้งข้างบ้านว่าเป็นคนดี เลยรับไว้ใต้ปีกคอยป้อง มีหลายฉากที่โชว์วัฒนธรรมม้ง อย่างตอนที่ยกโขยงมาขอบคุณไม่เลิก (น่ารักดี) และฉากที่มีปาร์ตี้ที่บ้าน เพื่อนๆ ลาว และ เพื่อนๆ ชาวม้งของอิชั้นก็มีปาร์ตี้แบบในฉากนั้นเปี๊ยบ มีบ่อยๆ ซะด้วย (บางเรื่องก็เข้าใจยาก อย่างเช่น ลาวจะถือว่าม้งเป็นชนชั้นต่ำ ม้งจะไม่ชอบคนลาว คือมันเข้ากันบ่อได้เด้อ บาร์คนลาวม้งจะไม่ไป บาร์คนม้งลาวก็ไม่อยากไปเพราะเหมือนลดเกรดตัวเอง แต่ไทยอู๋ไปมาโม้ดดดดด….. อ้อ คนม้งจะพูดไทยกลางเหน่อๆ จะไม่ค่อยพูดลาวนะคะ เพราะพวกนี้มาจากศูนย์อพยพประเทศไทย ซึ่งอยู่กันนานหลายปีมาก..กว่าจะได้มาอเมริกา เลยจะพูดไทยกันได้ดีพอใช้)

ตอนจบของหนังเป็นอะไรที่เดาได้ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังดีน่าดูเรื่องนึง ที่เอามาพล่ามเพราะอยากอวดว่ามีเพื่อนเป็นม้ง 55555 เกี่ยวกันมั๊ยวะ *** จบ บล็อก “ต้นฉบับ” ค่ะ ***

 

*** มาแปะเพิ่มเติม (1 ตุลาคม 2009) ***

เมื่อวานโดนคนบ้าคุกคามทิ้งข้อความ “แย่ๆ” ไว้ซะยาวเชียว เฮ้อ….. คน หนอ คน ขอบคุณละกันสำหรับคำติชม อิชั้นเข้าใจ ว่า mutation มันเกิดขึ้นได้ทุกเชื้อชาติ และ ทุกสายพันธุ์  ขอบอกนิดนึง อิชั้นไม่เตี้ยนะคะ เพราะสูง 168 ซม. 5555 ลด ละ เลิก นิสัยอิจฉาริษยา ปลง และ ยอมรับความจริงเถอะ อย่าเอามันมาเป็นปมด้อยค่ะ จิตใจจะได้เจริญกะเค้าบ้างนะคะ โดยเฉพาะเอกลักษณ์เด่นๆ ungraceful เลิกซะเถอะ นะๆๆๆ จะได้ไม่มีใครรังเกียจ น่าเห็นใจ เฮ้อ…

HmomgAttack

ชาวลาวที่เคยอยู่อีกฟากฝั่งโขง

 

clip_image001

สุรชัยสามช่า
clip_image002
มาละเหวย มาละวา ตีกลองสามช่า สุรชัยจะร้องเพลง
เพื่อนฉันเป็นลาว ตัวขาวน้อยมน ๆ

ฐานะยากจน แต่เป็นคนน้ำใจไมตรี
เนื้อตัวก็ใสสะอาด ขาวผ่องผาดสง่าราศรี
น้ำใจยิ่งดูเข้าที ก็เพราะมีความหวังตั้งใจ
น้ำโขงไม่เคยขวางกั้น น้ำจันไม่คดโกงใคร
น้ำใจสามัคคีเมื่อไร ยกจอกย้อมใจสัมพันธไมตรี
เอ้า..กรึบ การารึบ กรึบ กรึบ
น้ำโขงไม่เคย คั่นความสัมพันธ์ น้ำจันไม่เคย..แบ่งชาติชนใด
มาละเหวย มาละวา ตีกลองสามช่า สุรชัยจะร้องต่อ
เพื่อนฉันเป็นญวนชอบชวนฉันเล่นเปลไกว
เพื่อนญวณฉลาดหัวไว สมองใสขยันการงาน
ปลูกผักสวนครัวขายส่ง ฐานะมั่นคงไม่อดอาหาร
สาวญวณยิ่งดูชื่นบาน มีชื่อมานานผิวนวลผิวนวล
น้ำโขงไม่เคยขวางกั้น น้ำจันไม่คดโกงใคร
น้ำใจสามัคคีเมื่อไร ยกจอกย้อมใจสัมพันธไมตรี
(เอ้า) มาละเหวย มาละวา ตีกลองสามช่า สุรชัยจะโซโล่
**
น้ำโขงไม่เคยคิดแบ่ง เป็นกำแพงชนชาติชนชั้น
น้ำโขงเมื่อเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ
เพื่อนฉันขะแมร์ รักจริงไม่แพ้ลาวญวณ
น้ำคำคร่ำครวญ ชอบชักชวนร้องรำทำเพลง
ทำนาประสาบ้านนอก ใส่เสื้อดอกตะกรุดของขลัง
สู้การสู้งานจริงจัง ไม่หักหลังคดโกงผู้ใด
ไทยเขมรลาวญวณ ชักชวนคบหากันไป
แหลมอินโดจีนและไทย ใช่อื่นไกลเชื้อสายสัมพันธ์
น้ำโขงไม่เคยคิดแบ่ง เป็นกำแพงชนชาติชนชั้น
น้ำโขงเมื่อเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ
น้ำโขงเมื่อเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ
น้ำโขงเมื่อเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ
น้ำโขงเมื่อเป็นน้ำจัน มาลัยสัมพันธ์จะคล้องคอเธอ
ไปละเหวย ไปละวา สุรชัยสามช่า ขออำลาขอลาไปก่อน
ไปละเหวย ไปละวา สุรชัยสามช่า ขออำลาขอตัวไปต่อ

clip_image002[1]

เริ่มด้วยเพลงเพื่อชีวิตเลย 55555 เพราะมันถูกใจใช่เลย (แต่เพื่อนๆ ชาวลาวของอิชั้นมันไม่ยากจนอย่างเพลงหรอกนะคะ) เรื่องที่จะพล่ามวันนี้...ยาววววว......มากกกก..... เป็นเรื่องที่อยากเล่ามากๆ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมโลก ร่วมเมือง มิใช่ร่วมบ้าน เพื่อนๆ ที่จะกล่าวถึงพวกนี้เป็นชาวลาว ลาวแท้ๆ ไม่ใช่เก๊ๆ พวกที่อยู่อีกฟากของฝั่งแม่น้ำโขง คนไทย (ส่วนใหญ่) ชอบเรียกคนอีสานว่า “ลาว” ไม่ลาวเฉยๆ ซะด้วย ต้องจิกหัวหน่อยๆ เหมือนเป็นฝูงชนที่ต่ำต้อยด้อยค่าซะจริงๆ เช่น อีลาว บักลาว 55555 ที่ขำเพราะอิชั้นก็เป็นคุณสานโดยกำเหนิดค่ะ แต่เป็นลูกผสม “พันธุ์ทาง” หลายสายเลือดค่ะ ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรืออับอาย เวลาใครเรียกจิกๆ ว่าเป็นลาว เพราะอิชั้นไม่ใช่ลาว (เรียกอีบ้านนอก-ยังไม่โกรธเล้ยยยย ธ่อ...อีในเมือง) แต่จะขำและงงๆ ตรูว่ายน้ำข้ามโขงมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ ไม่ยักกะรู้ตัว โคราชนี่เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศลาวเหรอวะ หรือว่าแม่น้ำโขงย้ายภูมิลำเนามาอยู่แถวเขื่อนลำตะคลอง แผนที่โลกเปลี่ยนเลยนะนั่น โอ...มาย บุ๊ดด้า หรือว่า โรค “โลกอุ่น-โกลบ้อลวอล์มมิ่ง” คุกคาม 55555 หรืออีพวกนั้นบ้ากะโหลกหนาปัญญาทึบ 5555 น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านิ

ตั้งแต่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างประเทศ 55555 ก็มีเพื่อนหลายๆ เชื้อชาติ (รวมทั้งชาติหน้า ชาติม๋าก็มี 5555-บักแจ๊คสันไง) มีเพื่อนชาวจีนเมนแลนด์ จีนไต้หวัน เกาหลี แขกอินตะละเดีย แขกปากีฯ คะเนเดี้ยน เขมร ม้ง(คนภูเขาจากขุนเขาในลาวและเวียดนาม) เวียดนาม ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ที่รู้จักเป็นเพื่อนคบหามากที่สุดเป็นเพื่อนชาวลาวค่ะ เริ่มต้นรู้จัก 1 คน แล้วแนะนำชักพากันไปปาร์ตี้หลายๆ หนเข้า ตอนนี้มีเพื่อนลาวรวมๆ แล้วครึ่งค่อนร้อยได้มั๊ง ที่ยกมาเล่าสู่กันฟังนี้เพราะรักใคร่กันดี มิได้เกลียดชังหนังหน้ากันแต่ประการใด อยากให้ท่านผู้อ่านได้รับความบันเทิงเท่านั้นเอง ไม่ต้องเอาไปเติมเพิ่มข้อมูลลงใน เอน-ไซ-โคล-พิ-เดีย ใดๆ ทั้งสิ้น

“พวกมัน” ที่เป็นเพื่อนๆ ของอิชั้นมันก็มีทั้งน่ารัก น่าชัง น่ากอด น่าถีบ น่าขำ น่าหมั่นไส้ ปนๆ กัน ตามปกติของเฉกเช่นมวลมนุษย์ทุกๆ ชาติในโลก ส่วนใหญ่เป็นคนมีน้ำใจงาม ขอนำสิ่งที่ “โดดเด่น” ของพวกมันมาเล่าสู่กันฟังละกัน (บางคนมันอ่านภาษาไทยออกซะด้วย 55555 เพราะคาราโอเกะไทย หนังไทย ทีวีไทย และเคยอยู่ในศูนย์อพยพในไทยกันตั้งแต่หลายเดือนจนถึงหลายปี กว่าจะได้ย้ายไปอยู่ประเทศที่ 3) อีกเหตุผลหนึ่งที่อยากนำมาเล่าให้ฟังเพราะ มันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และคิดว่าทุกๆ ท่าน อาจจะไม่มีวันได้ประสบ พบ เห็น หรือ ได้ยิน ได้ฟังมาก่อน วิถีการดำเนินชีวิตและรสนิยมของมนุษย์เรานั้นช่างแตกต่างกันเหลือหลาย น่าสนใจดีค่ะ

เข้าเรื่องพวกเพื่อนชาวลาว ของอิชั้นเลยดีกว่า เฟรสโน่เป็นเมืองใหญ่ติดกันกับเมืองจิ๋วๆ ที่อิชั้นย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่นั้น เฟรสโน่-เป็นเมืองแรกๆ ที่เค้าขนเอาคนอพยพหนีสงครามเวียดนาม สงครามลาวแตกเข้าสู่ยุคคอมฯ (คอมมิวนิสต์ย่ะ ไม่ใช่ คอมพิวเต้อร์) สงครามคิลลิ่งฟิลด์ล้างเผ่าพันุ์ในเขมร คือประมาณปี 1975-80 ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขไม่ชัดเจน เพราะมิได้ค้นคว้าศึกษาอย่างเป็นทางการ ได้รู้ได้ฟังจากคนใกล้ตัว พวกเพื่อนๆ ชาวอพยพ (นานาชาติ) และ จากการได้ยิน ได้ฟัง จากโทรทัศน์และวิทยุท้องถิ่นมา สรุปว่าขนยกโขยงมามากมายหลายแสนคนเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้นนนนนน (น่ะนะ) เค้าเล่ากันว่า เป็น “ม้ง” (Hmong-คนภูเขาหรือแม้วที่ไม่ใช่คุณทักษิน 5555) ซะ 2-3 แสนคนได้ เป็นคนเวียด คนลาว และคนเขมร รองๆ ลงมาตามลำดับ จากนั้นก็แต่กิ่งก้านสาขา ออกแม่แผ่ลูก โยกย้ายกระจัดกระจายไปทั่วประเทศนี้เลย แต่เมืองข้างบ้านก็ถือว่าเป็นกลุ่มก้อนที่ใหญ่มากๆ ไม่แพ้กลุ่มที่อยู่แถวรัฐมินิสโซต้า และที่ประเทศฝรั่งเศส

เนื่องจากชาวอพยพพวกนี้มาตั้งถิ่นฐานที่นี่หลายสิบปี และยังอำนวยความสะดวกกับอิชั้นในการซื้อหาข้าว ปลา อาหาร พืชผัก เครื่องครัวของใช้ได้อย่างชนิดที่เหมือนกับที่เคยซื้อ เคยใช้ หรือ เคยเห็นเมื่อครั้งยังอยู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร หรือถ้าไม่เหมือนเปี๊ยบก็ใกล้เคียงทีเดียว เผลอๆ หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ไม่เคยพบ ไม่เคยรู้ว่าสินค้าบางอย่างมีขายมีผลิตกันขนาดนี้เชียวหรือ เพราะบางอย่างเขาเพื่อส่งออกเท่านั้นจริงๆ ชาวไทยในเมืองไทยอาจจะไม่เคยทราบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยใช้ เลยก็ว่าได้ อย่างพวกแมลงทอดนานาชนิดในรูปกระป๋อง พริกแกงในหลายๆ รูปแบบ เป็นซอง เป็นกระป๋องจิ๋ว เป็นถังใหญ่ ปลาร้าผง ปลาร้ากระป๋อง ปลาร้าขวด ปลาร้ากระปุก ปลาร้าปลาช่อน ปลาร้า ปลาส้ม ปลา...สารพัด แรกเห็นแล้วตะลึง เดินดูเดินอ่าน เพลินดี (มีหลายๆ อย่างที่ไม่ได้ซื้อมาลองรับทานเพราะยังไม่เคยคิดไปออกเกมส์โชว์-เฟียแฟ๊คเต้อร์ 555) มากมายหลายสิ่งจนน่าทึ่ง และรู้สึกภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย เพราะสินค้าในร้านของชาวอพยพพวกนี้ 95% นั้นเป็น Product of Thailand คนไทยนี่เก่งจริงๆ

clip_image003

พูดถึงการพูดจาปราศรัย ของชาวลาวเพื่อนๆ ของอิชั้น ช่างน่าสะพรึง สะ-หยด-สะ-หยอง มากๆ ขอเรียกเพื่อนๆ กลุ่มนี้อย่างให้เกียรติว่า “พวกมัน” แล้วกัน 5555 ไม่หยาบคายแต่ประการใด เพราะถ้าไปคุยกะพวกมันจะแบบ ชะอึ๋ย ขนาดนี้กันเลยเหรอฟะ ไม่ได้เหมารวมว่าชาวลาวทั้งหมดจะ “เถื่อน-ถ่อย-ถุน” แบบนี้ไปทั้งหมด พวกมันเรียกกันเองมียศนำหน้าทู้กกกก...คน อี+ตามด้วยชื่อ อีนั่น อีนี่ เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่มิได้ทะเลาะเบาะแว้ง หรือ ด่าทอกันแต่อย่างใด แล้วอวัยวะสืบพันธุ์ชายหญิงก็ไม่มีชื่อเล่นอย่างน่าเอ็นดูแบบของไทยเรา เรียก จุดๆๆ+สระอี กับ ควายที่ไม่มีสระอา กันอย่างไม่กระดากปาก พูดกันได้ถึงอกถึงใจ ไม่อายกัน รู้จักพวกมันใหม่ๆ ก็แบบ สะอึกจึ๊กกะดึ๋ยมากๆ อายเอง เขินสุดๆ ขนาดไม่เคยเอ่ยคำนามพวกนั้นเลย ได้แต่ฟังแล้วทำขำ ทำฮาตามๆ เค้าไป (ขำแบบเซ่อๆ โง่ๆ น่ะ ทำกันเป็นปล่าว 5555) พอมิให้รู้สึกแปลกประหลาด หรือ กระแดะในสายตาพวกมัน แต่ก็ไม่เคยบังอาจผสมโรงพูดแบบนั้น ไม่กล้าอะ มันหยาบไปหน่อย ละอายแก่ใจ ทั้งๆ ที่อยู่เมืองไทยก็เป็นคนทะลึ่งตึงตังพอควรอยู่ แต่ไม่ได้หยาบโลนแบบพวกนี้อะ มันต่างกันน่ะ อธิบายยากจังวุ้ย

clip_image004

มาถึงเรื่องการแต่งกาย ทั้งชายหญิง รุ่นๆ จนถึงรุ่นป้าๆ ลุงๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันจะแต่งสไตล์และเทรนด์เดียวกันเปี๊ยบ ชนิดที่อาจเรียกว่ายูนิฟอร์มก็ได้ ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่รู้จักกัน พวกมันแต่งตัวกันยังไง เทรนด์ไหน เอาแบบที่ได้เห็นๆ อยู่เทรนด์ปัจจุบันละกัน พวกหญิงตั้งแต่สาวรุ่นจนถึงคราวแม่ ในฤดูร้อนจะนิยมใส่สายเดี่ยวเสียวหลุดยี่ห้อ bebe ต่างสีกันไป กางเกงยีนส์ที่นิยมสุดๆ ตอนนี้ คือ เซเว่น-ฟอร์ออลแมนคายด์ พอพวกมันมาพร้อมๆ กันหลายๆ คน เหมือนมีแข่งกีฬาสี 5555 เหมือนกันโม้ดดดดด.... เสื้อต่างๆ สี เท่านั้นเอง ขาวๆ ดำๆ จะซ้ำบ่อยสุดๆ พอหนาวๆ ก็ใส่แจ๊ดเก็ตหนังบู้ทหนังถึงเข่าเหมือนกันโม้ดดดดด... เสื้อตัวในก็ “บีบี้” อย่างเดิม ผมก็ทรงเดียวกัน ย้อมสีบลอนด์เหมือนกัน ไฮไล้ท์ สตรีกบางหนาเหมือนๆ กัน มองข้างหลังเหมือนฝาแฝด เมื่อไม่นานมานี้ฮิตย้อมผมดำปี๋-ผีดิบ เหมือนกันหมด แต่เทรนด์นี้ฮิตอยู่ได้ไม่นาน ก็กลับมาเป็นน้ำตาลอ่อนถึงบลอนด์มีสีไฮไล้ท์ สตรีกบางหนาเหมือนเดิมกันทั้งหมดอีก ส่วนกระเป๋าถือ เมื่อ 4-5 ปีก่อน ก็ ลุ๋ย-วิ-ทอง หรือ กุ๊ดจี่ เหมือนๆ กันหมด อิชั้นไม่โปร แต่พอสังเกตุเห็นว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่ของจริง เพราะตัวเองมีของจริงๆ ให้พอได้ “เอ้” กะเค้าอยู่นิดหน่อยเท่านั้น มา 2-3 ปีให้หลัง ไอ้ “โค้ช” กับ “เบอเบอรี่” มาแรง โค้ชพอดูออกว่าหลายๆ คนใช้ของปลอม เพราะอิชั้นมีของจริงๆ อยู่ฝูงใหญ่ ส่วนไอ้เบอเบอรี่ไม่ทราบเลย เพราะไม่เคยมี สรุปคือ พวกมันจะ “ฮิต” สิ่งเดียวกันเปี๊ยบ(เปี๊ยบเลยนะคะ ไม่ใช่คล้ายๆ) อีกอย่างที่เด่นชัดและน่าฮามากๆ 90 ในร้อยของทุกวัยทั้งชายและหญิงจะใส่นาฬิกาข้อมือยี่ห้อ Movado ด้วยรุ่นและสไตล์คล้ายๆ กันเท่านั้น เห็นแล้วตลกจัง ตัวเองชอบอะไรบึ้กๆ ก็ลากไซโก้คีเนติคเรือนเก่าอันเดิมไปด้วยเสมอ พวกมันก็เบะปากใส่ว่า “นาฬิกาผัวเหรอ” 5555 ไม่โกรธหรอก ออกจะขำ อ้อ..อีกอย่าง คนลาวไม่ใช้คำว่า แฟน สามี มีคำเดียวเลย “ผัว” 5555 ไม่ถือว่าหยาบคาย ป้าคนหนึ่งเคยถามอย่างรักใคร่เอ็นดูว่า “คนนี้ผัวเจ้าบ่” ได้ยินปุ๊บต๊กกะใจ ตอนโน้นยังไม่เชี่ยวชาญหลักภาษาลาว ก็แบบ ไม่รู้จักมักจี่มาถามแบบนี้ได้ยังไง 555555 มีอีกหลายคำแหละ ไว้นึกออกเมื่อไหร่จะเอามารวมเล่มเล่าให้ฟัง เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเอาแค่นี้พอ เพราะตัวอิชั้นเองก็ซกมกไม่รักษาหน้าบ้านเมืองซะด้วย

clip_image005

ขอเสริมนิดนึง ที่ใครๆ ชอบเรียกคนลาว อีลาว อีดำ อีหมูกบี้หมูกบานดั้งแบนนั้น ผิดแบบพันล้าน % เลยค่ะ เพราะชาวลาวจะผิวผ่องงามแท้ ออกจะขาวๆ ไปทุกคน ยังไม่เคยเจอคนดำเลยก็ว่าได้ แถมไม่ค่อยเจอใครจมูกบานๆ แบนๆ ด้วย จะเห็นเสริมดั้งกันอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่รวมๆ แล้วหน้าตาผิวพรรณงามทุกคน ถ้าเขมร ม้ง ก็อีกเรื่องนึงเลย โดยเฉพาะม้ง…หน้าตาและขนาด..จะ “ยูนี๊ค” มากๆ

clip_image006

เพื่อนลาวที่อิชั้นรู้จักจะปาร์ตี้ฮาร์ด เดี๋ยวเลี้ยงโน่นนี่ไม่ได้หยุด แทบจะทุกวีคเอ็นด์ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะวันเกิดผู้ใหญ่ วันเกิดลูกเล็กเด็กแดง เมาได้ตลอด ปีใหม่ฝรั่ง ปีใหม่ลาว-สงกรานต์ แต๊งส์กีฟวิ่ง คริสต์มาส วันชาติ อีสเต้อร์ ทำขวัญเข้า-ออกโรงบาล (หายป่วย) งานศพ (ตั้งกะมีคนตาย เตรียม สวด เผา พอจบก็ยังมี เฮ้าส์วอล์มมิ่ง อีก) ลูกจบปอหก จบปอแปด จบไฮสคูล วันไหนๆ ก็ได้ You name it! เลี้ยงฉลองปาร์ตี้เมาเละได้ทุกงาน หลังๆ มาต้อง “ขอบาย” บ่อยๆ ค่ะ

งานเลี้ยงไหนๆ กับข้าวกับปลา อาหาร จะเหมือนๆ เดิม เป็นยูนิฟอร์มอีกเหมือนกัน ที่เห็นประจำ ก็คือ ยำแหนมคลุก ยำ teen ไก่ ยำวุ้นเส้น ขนมจีน ส้มตำ ข้าวเหนียว ปอเปี๊ยะทอด บาร์บีคิวไก่ หมู เนื้อ ซี่โครง ย่างกันทุกงาน ฟังดูคุ้นเคน แต่รสชาติจะไม่เหมือนเลยทีเดียว พวกยำๆ จะหวานมากๆ ขนมจีนจะไม่เหมือนของไทย ส้มตำใส่กะปิด้วย แล้วก็น้ำปู เหมือนกะปิแต่ดำปี๋ อิชั้นทานได้ทุกอย่างขอแค่ไม่เผ็ดมากเกินไป พวกนี้ทำอาหารจะไม่ขาดผงชูรส “ผงนัว” ตักใส่ ตวงใส่ โกยใส่ เหมือนได้มาฟรีๆ เห็นแล้วน่ากลัวมากๆ แม้แต่พริกเกลือสำหรับจิ้มผลไม้รสเปรี้ยวก็ใส่ผงที่ว่าลงไป ถ้าเป็นน้ำปลาหวานจะโหดกว่า จะใส่พริกป่น น้ำปลา น้ำตาลทราย (ติ๊ดนึง) แล้วเติม “ผง” และ สาดน้ำปลาแดกลงไปด้วย ฮ่วย.... ลองชิมดูครั้งนึง บ่ไหว บ่ไหว ข้อยบ่เอาด้วยเด้อ.... 5555 ไม่กินดีฝ่า 555 ไม่ถูกปาก ไม่ถูกใจ และไม่บังอาจ 555 แถมอีกนิด พริกเกลือของพวกม้งจะเด็ดอีกแบบ เกลือป่น น้ำตาล (ติ๊ดนึง) พริกป่น + ผงนัว และข้าวคั่วจ้า......... 555555 อันนี้ก็บ่ไหว.....

เครื่องดื่ม จะไม่แปลกประหลาดนัก จะเป็นเบียร์กระป๋อง เบียร์ขวด นานายี่ห้อ น้ำอัดลม น้ำดื่ม และไวน์ เหมือนปาร์ตี้ของชาติอื่นๆ ประหลาดนิดนึงก็จะมี บรั่นดี วิสกี้ หรือ คอนยัค รินใส่แก้วช็อต หรือรินใส่ถ้วยน้ำชากระเบื้องใบจิ๋ว แล้วก็จะมาไล่ล่า ขู่บังคับให้ทุกๆ คน “กรึ๊บ กะ ลึ๊บ กึ๊บๆ” ที่แย่ที่สุดก็ตรงที่พวกมันมักจะใช้แก้วเดียวจอกเดียวเวียนไปทั่วงาน แหวะสุดๆ เหล้าน่ะไม่กลัวหรอก เซียนอย่างอิชั้น แต่กลัวแก้วที่พวกมันใช้ตะหาก และมีอีกอีกอันที่ประหลาดสุดๆ และ สยึ๋มกึ๋ยสุดๆ ก็คือ ทุกๆ บ้าน และแทบทุกบาร์ จะมีโหลเหล้าดองยาขนาดใหญ่ยักษ์ ใส่สมุนไพร รากไม้ อัดจนเต็มโหล แล้วแช่ดองด้วยว๊อดก้าจนท่วม เคยเหลือบไปเห็น ตุ๊กแก งู อัดอยู่ในโหล 3-4 ตัวด้วย แล้วที่ไม่เห็นอีกเท่าไหร่ ฮึ... แหวะๆๆๆๆ ไม่รู้อิชั้นโดนกรอก โดนบังคับ ไปกี่ครั้ง หลายๆ ครั้งที่ต้องทนรังเกียจไอ้แก้วไอ้จอกที่ว่า นึกว่าเป็น บรั่นดี คอนยัค ก็ซดๆ กรึ๊บๆ ไปให้เสร็จๆ พอได้ลิ้มรสและกลิ่น เมาแค่ไหนก็รู้เลยว่าไอ้ซดไอ้แหวะๆ เข้าให้แล้ว เพราะกลิ่นสมุนไพรจะแรงมาก แงๆๆๆๆ แหวะๆๆๆๆๆๆ ไม่รู้ว่ากลิ่นไอ้พวกแอนนิม่อลพวกนั้นเป็นยังไง บอกไม่ได้จ้า

clip_image007

การแต่งเนื้อแต่งตัวอีกแบบนึงของชาวลาวบางกลุ่มและคนสูงอายุนั้นจะประทับใจอิชั้นสุดๆ เค้าคงจะมีชุดเด็ดๆ ชุดโก้ ชุดออกงาน ก็อาจเป็นได้ (รูปที่นำมาโพสต์ก็แอบๆ ถ่าย มุมกล้องเลยไม่แบบ “จะๆ” ไว้ไปพบไปเจอมาอีกจะถ่ายรูปมาให้ดูกันใหม่) เวลาท่านๆ พวกนี้ไปวัด ป้าๆ ยายๆ จะเกล้าผมมวยน่ารักเชียว ใส่เสื้อไหม ซิ่นไหม ห่มสไบเฉียง สวยงาม ส่วน ลุงๆ ตาๆ จะใส่เสื้อขาวกางเกงขาวแบบราชปะแตน แล้วห่มสไบเฉียงด้วย เวลาท่านๆ พวกนี้ไปเที่ยวบาร์ คลับ จะแต่งตัวเต็มยศแบบนี้เลยแต่ไม่ห่มสไบกัน (ส่วนลุงๆ ตาๆ จะเปลี่ยนจากสีขาวๆ เป็นสูทสากล) แล้วจะออกมาเต้น เอ็นจอยชีวิตกันตลอดงาน ฟลอร์จะหนาแน่นเป็นพิเศษ เวลาวง (ดนตรี) เล่นเพลงรำวง ทกุคนจะออกมารำวงเดินวนๆ สวยงาม เห็นแล้วน่ารักดี ชื่นชมชื่นชอบ ดูเหมือนสมัยโบราณๆ มั๊ง ไม่เคยเห็นที่เมืองไทยเลย นอกจากในหนังในละคร พอวงเล่นเพลงที่ความเร็วปานกลาง เค้าจะออกมาเต้น line dancing หรือ squar dance อะไรทำนองเนี๊ยะแหละ เป็นเหมือน “สเต็บ” ที่ใครๆ ก็รู้กัน ยกเว้นอิชั้น 5555 ทุกคนจะออกมาเข้าแถว เรียงกันหลายแถว กะระยะห่างให้พอดี เรียงกันจนเต็มฟลอร์ แล้วเต้น หันซ้าย หันขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง อยากให้ทุกคนเห็นเพราะดูน่ารัก และ น่าสนุก อยากหัดเต้นให้เป็นเดี๋ยวนั้นเลย 5555 เคยออกไปแอบเต้นตามข้างๆ ฟลอร์ ใครเห็น ใครฮา 55555 ทำไม่ได้อ่ะ ตามไม่ทัน

อีกเรื่องที่โดดเด่นเห็นสำคัญ งง และไม่เข้าใจ ก็คือ รีเลชั่นชิพระหว่างชายหญิง ฉันท์สามีภรรยา ฉันท์คู่รัก คู่ขา หรืออะไรก็ตาม ดูเหมือนจะ สลับร่าง-สร้างรัก อยู่หลายคู่ ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนก่อนก็เห็นเป็นผัวเป็นเมียกันอยู่ อ้างไหงวันนี้เมียไอ้ ก. ไปเป็นเมียไอ้ ข. ซะแล้ว หนักสุดแบบ ไม่เจอไอ้ ค. ซัก 48 ชั่วโมงได้ พอเจออีกที อ้าว เมียมันผ่าตัดเปลี่ยนหัวมามั๊ง ไม่ใช่คนที่คุยกะเราเมื่อวันก่อนนี่หว่า 555555 ที่เอามาเล่าก็เพราะคนพวกนี้ยังมาพบมาเจอพูดคุยกันได้อีก คือ แบบยังมาสังสรรค์กันได้หน้าตาเฉย เหมือน “เราจะรวมเป็นครอบครัวใหญ่” 555555 นี่ผัวใหม่ชั้น เออนี่ก็เมียใหม่ข้า อะไรแบบนั้น แถมไอ้แฟนใหม่ ก็แบบ-เพื่อนแฟนเก่า น้องเมียเก่า พี่เพื่อน เพื่อนๆ กัน ญาติๆ กัน เอามันใกล้ๆ แบบนั้นเลย ถ้าเป็นอิชั้น “เลิกกันแล้ว ให้มันจบๆ ไป” ไม่ต้องมาเจอหน้า "ฆ่า"ตากัน อีก เป็นไปได้ก็ขอเปลี่ยนวิถีโคจรของชีวิตเลยแหละ ไม่พบ ไม่เจอ ไม่ใกล้ ไม่เกี่ยว ไม่ข้องกันอีกเลย ถ้าจะมีแฟนใหม่ ก็ขอคนละโลกเลยจะดีกว่า 555 ถ้ามันอยู่ดาวพะสุก อิชั้นจะย้ายไปอยู่ดาวพะเฉา 555555

ปล. ไอ้พวกที่เค้าปกติ-ผัวเดียวเมียเดิมก็มีเยอะแยะนะคะ หรือจะเรียกพวกนี้ว่า “พวกไม่ปกติ” ดีนะ 555

Tuesday, December 22, 2009

Meatballs ผัดเปรี้ยวหวาน + สลัดๆ ไม่ใช่โจรสลัด

friends_at_iida_happy-holidays

ลูกๆ กินยาก วันๆ ไม่รู้จะทำอะไรให้ลูกกิน แล้วช่วงหลังๆ มานี้ ก็มีให้แต๊ดแตร๋ออกไปโน่นมานี่ไม่ได้หยุด ลูกๆ ฝากท้องไว้กับแม๊คโดเน่าบ่อยเหลือเกิน แม่ที่แสนดีรู้สึก guilt นิดๆ หาเวลาอยู่บ้านไม่ไปไหน แล้วทำอะไรให้ลูกๆ กินได้ยากจรงิๆ เพราะพอกลับเข้าบ้าน…โรคประจำตัวก็กำเริบหนัก “โรคขี้เกียจ” น่ะ 5555 อย่างเมื่อวาน…ทำเมนู “น่าอาย” อีก ต้มมาม่าใส่ไข่ ใส่ลูกชิ้นหมู โยนผักสลัดลงไปถุงนึง อีรอมกะไอ้ตี้กินกันดีเชียว พอเวลาอาหารที่แม่มันบรรจงและตั้งใจทำสุดฝีมือ+สุดหัวใจ มันไม่แตะกันซะคำ อยากจะเอา “ยี” หัว พวกมันจริงๆ

page-498

ไอ้ตี้มันเป็นคนไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ ก็เลยต้องหาวิธีหลอกล่อให้มันกินเนื้อสัตว์ วันนี้ก็เลยลากเอา Turkey Meatballs ที่ขังไว้ในฟรีซเซ่อร์นานแล้ว…เอาออกมาปลอมตัวแปลงโฉม วิธีที่อิชั้นทำก็ง่ายๆ แหละ เตรียมเครื่องเคราเหมือนผัดเปรี้ยวหวาน เรียกว่ามีอะไรก็โยนๆ ลงไป วันนี้มี แตงกวา พริกหวาน หอมใหญ่ มะเขือเทศ เห็ดหอมสด แครอท แล้วก็ไม่ลืมเติมซ๊อสมะเขือเทศข้นลงไปซะหน่อย พอจะเริ่มลงมือผัด ควานหาเส้นสปาเกตตี้ หรือ มักกะโรนีข้องอ ไม่เจอ..ปวดเฮดเลย แต่โชคดีเจอ Mostaccioli กล่องนึง (ขนาดและรูปร่างเหมือน Penne แหละ เพียงแต่ผิวเรียบ ส่วนเพนเน่ ผิวจะเป็นลายริ้วๆ) ปกติจะซื้อเส้นพาสต้าเก็บไว้ตลอด และซื้อเก็บต่างๆ รูปแบบด้วย แปลกๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เอาไว้ล่อหลอกให้ลูกกิน 555 สรุปว่าผัดซ้อสเปรี้ยวหวานเสร็จก็ราดไปบนไอ้เส้น “มุสตาชิโอลี” ที่ต้มเตรียมไว้ จบไปมื้อนึง

page-501

พักนี้ “ฮิต” ทานสลัด เพราะระบบขับถ่ายชักแย่ แต่มาดูน้ำสลัดของอิชั้นกันดีกว่า เป็นคนไม่กลัวเรื่องน้ำสลัดข้นๆ มันๆ แต่อย่างใด จะ heavy หรือ light ได้หมด ที่อ้วนเนี่ยไม่เกี่ยวกับน้ำสลัดหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะกินแบบยัดฟูกยัดหมอนมากกว่า 5555 มาดู มาดู น้ำสลัดของอิชั้นดีกว่า เรียงตามลำดับความชอบเลยนะ (แม่บ้านหลังยาว..ไม่ตีเดรสซิ่งสดๆ ร๊อกกก….555 เป็นแม่บ้านขวดๆ นานแล้วจ้า)

1) Ken's Steak House Raspberry Walnut Vinaigrette Dressing (Lite) อันนี้เป็นอันดับ 1 หมดไป 2 ขวดแล้ว จริงๆ มีเดรสซิ่งในดวงใจ Marie's Honey Mustard Dressing ครองแช้มป์มาหลายปี พออิชั้นได้ลองของพี่เคน….ขวดนี้ อูย… นังมารีตกกระป๋องไปเลย พี่เคนเปรี้ยวๆ หวานๆ ทำให้กินสลัดได้เป็นกะมังๆ วันละหลายรอบเลยเชียว

2) Marie's Honey Dijon Dressing ขวดนี้คล้ายๆ Marie's Honey Mustard Dressing แต่ “ใส” กว่า เวลาจะรับทานเดรสซิ่งอันนี้มันจะป็นเรื่องเป็นราวกว่าไอ้อันดับหนึ่ง เติมไข่ต้มลงไปคลุกๆ ด้วย อืม…หย่อย

3) Kraft Light Raspberry Vinaigrette อันนี้ก็คล้ายๆ อันที่ 1 แต่ อันนี้เปรี้ยวโดดๆ พอทดแทนกันได้ ซื้อมาตอนที่ Ken's หมด..แล้วหาซื้อแถวๆ นี้ไม่ได้

4) Wishbone Bountiful’s Berry Delight ไอ้ขวดนี้กะไอ้ขวดที่ 3 นี่สูสีเลยนะ เปรี้ยวๆ หวานๆ หวานกว่าของคร๊าฟท์ ลังเลว่าจะให้ขวดนี้อันดับ 3 ดีมั๊ย 555 เป็นว่ามีอันดับ 3 อยู่ 2 ขวดละกัน

5) Kraft Creamy Italian Salad Dressing จริงๆ ไม่โปรดอิตาเลี่ยนเดรสซิ่งเท่าไหร่ แต่อีซะมีเค้าชอบ คือ รับทานได้-แต่ไม่โปรดปรานมากมาย พอมาลองอีครีมมี่นี่แล้ว อืม…อร่อยเหมือนกันนะ

6) อันนี้คล้ายๆ ครีมสลัดแบบไทยๆ Kraft Coleslaw Dressing จริงๆ ไม่ใช่เดรสซิ่งที่โปรดเลย แต่เป็นเดรสซิ่งที่เอาไว้ขยำผักทำโคสะลอว์ เอาไว้ทานแนมเวลาทำอาหารที่เน้นพวกเนื้อๆ แบบสะเต๊ก เนื้อย่าง

จริงๆ มีเดรสซิ่งอีกอันที่ลูก (อิรอม) กะอีก๊อตชอบ มันคือ Ranch….ลืมถ่ายรูปมา 555 แต่อิชั้น ไม่ช้อบบบบบ… ไม่ชอบ มีอันต้องจำใจรับทานหลายครั้งหลายหน รสชาติเหมือน “อ้วก” 5555 จริงๆ นะ ถ้าใครชอบก็ขออภัย เวลาไปกินอาหารนอกบ้าน ก็จะรีเควส Thousand Island เป็นอันดับแรก ถ้าที่ไหนไม่มีก็จะรีเควส Italian ไปให้มันจบๆ

page-502

ตานี้ก็มาดูเครื่องโปรยสลัดของอิชั้น เยอะมากนะคะ…ขอบอก ไม่รู้เค้าเรียกอะไร เครื่องโรย เครื่องโปรย เครื่องปรุง 555 แต่อะไรที่เค้าชอบกันเป็นสากล….อิชั้นมักจะไม่ชอบ 5555 มันคือ ครูทานส์ (A crouton is a small piece of sautéed or rebaked bread, often cubed and seasoned, that is used to add texture and flavor to salads, notably the Caesar salad, as an accompaniment to soups, or eaten as a snack food. The word crouton is derived from the French croûton, itself derived from croûte, meaning "crust".) ไม่ชอบเลยแหละ ไอ้เต๋าหนมปังกรอบๆ เนี่ย บางทีซีซันนิ่งมาเยอะ ยิ่งไม่ถูกปากถูกใจอิชั้นหนักเข้าไปอีก ปกติเป็นคนไม่เค็ม 5555 คือ ไม่ทานเค็มน่ะค่ะ เป็นหญิงจืด อะไรที่เค็มจั๊ดนัก…ไม่ไหวเด้อ พอดีไปเจอไอ้ถั่วรวมมิตรถุงๆ ในรูปเข้า กำมาโปรยๆ ใส่สลัด ทีละหลายๆ กำมือ สาดเบค่อนจากไอ้ถุงดำๆ นั่นลงไปหน่อยนึง ราดน้ำสลัดที่ถูกใจอีกโครมใหญ่ ยัมๆๆๆๆๆ ไอ้เบค่อนถุงนี่เป็นเบค่อนจริงๆ นะคะ มีขายหลากหลายยี่ห้อ แต่ยี่ห้อนี้เค็มน้อยหน่อย เบค่อนพวกนี้เป็นเศษเบค่อนจริงๆ ไม่เหมือน Bacon bits ซึ่งเป็นแป้งทอดกรอบรสเบค่อน มาถึงผักสลัด อิชั้นชอบโรเมน ไม่ชอบผักกาดแก้ว-iceberg lettuce หรือผักที่รสชาติคล้ายกันเลย สลัดถุงๆ ที่เห้นในรูปนั่นคือสลัดที่อิชั้นซื้อประจำ ซื้อทีละ 3-4 ถุงเลย ราคาถุงละ 1 เหรียญเท่านั้น ทำมาม่าให้ลูก ทำยำรสจัดทั้งหลาย ก็ใช้สลัดถุงนี่แหละค่ะ จบเรื่องโจรสลัด 555

page-499 

เมื่อวานไปซื้อกับข้าวกับปลา เตรียมทำคริสต์มาสดินเน่อร์ (ไม่ทำไก่งวงแล้ว 5555 เข็ดซะ 555) พอดีเจอทีรามิสุ โหยอยากทานอยู่นานมากแล้ว จริงๆ มีเจ้าประจำที่มอลล์…อร่อยมาก (เจ้าดังๆ ที่บางกอก…หลบไปได้เลย 555) พอเจอไอ้กล่องนี้เข้าก็รีบลากกลับมาบ้าน ร้อนรนมือไม้สั่น พอใส่ปากคำแรกก็ เอ้อ…. It’s just OK not wowww…woo hoo…แต่อย่างใดค่ะ พ.ด.ด. เท่านั้น คงไม่ซื้ออีกแล้วล่ะ 12.99 เก็บไปซื้อ French Bakery เจ้าประจำดีกว่า…..

x6a00d83453a73169e2010536bb2c3c970c-800wi

ปล. ปีนี้บ้านเราไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาสค่ะ เพราะว่ามีแต่เรื่องยุ่งๆ hectic ตลอด เลยตกลงกับลูกและซะมีว่าปีนี้ “งด” ของขวัญของลูกๆ ก็ไม่ได้มีมากมาย เอากองๆ ไว้หน้าทีวีแหละ 5555 ไอ้ต้นในรูปข้างบน….กูเกิ้ลเจอ เห็นขำดีเลยเอามาแปะ…แบ่งๆ กันขำค่ะ 555 รถเข็นลูกอิชั้นไม่ “จอก” แบบนั้น 5555

ยังไงก็ขออวยพรให้ทุกๆ ท่าน สุขกาย สุขใจ สมหวังในทุกสิ่ง ตลอดปีนี้ ปีหน้า ชาตินี้ ชาติหน้า เลยนะคะ ซ้า….ตุ๊

x3135388516_4164f87158

Friday, December 11, 2009

หนาว หนาว หนาว

 

page-491

thermometer

 

 

 

หลังจากเจอวิกฤติ Hectic มาตลอด 2-3 สัปดาห์ จริงๆ มันก็ยังไม่ซ่างซาไปเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่เบื่อแระ มาคุยเรื่องหนาวๆ เย็นๆ กันดีกว่า ที่ร้อนรุ่มกลุ้มใจเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวรวบรวมสติ-สตังได้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ ตอนนี้แถวๆ นี้หนาวมาก หนาวอิ๊บอ๋าย ใครที่อยู่ตรงไหนของโลกแล้วมาบอก เชอะ ไม่เห็นหนาวเท่าแถวบ้านชั้นเลย หิมะท่วมขาวโพลน ฯลฯ ต้องเข้าใจนะคะ ว่าคนเราทนทานหนาว ร้อย เย็น แฉะ ได้ไม่เท่ากัน เป็นว่าที่บ้านเราหนาวมากค่ะ 5555 กลางวันก็ประมาณ 40°F ต้นๆ พอเย็นๆ ตกค่ำก็หนาวไปอีกหน่อยนึงประมาณ 30°F ต้นๆ หนักหนาหน่อยก็ตอนเช้ามืดไปถึง 8-9 โมงเช้าก็ประมาณ 25-29°F ตอนนี้ก็เลยมี Alert ตลอดเกี่ยวกับ Freez Advisory ก่อนหน้านี้ก็แค่เตือนเรื่อง Frost ก็ห่วงต้น หมากรากไม้จะโดนน้ำแข็งเกาะหนาวเฉาตายกันไปซะหมด หลังๆ มาเป็น ฟรีซแล้ว เป็นห่วงแมวมาก หาอีนิ๊งหน่องแมวสุดที่รักไม่เจอมา 2 วันแล้ว (รูปทั้งหมดถ่ายจากกล้องป๋องแป๋งที่มีอยู่ตัวใหม่ เจ้า Canon  PowerShot SD780IS 12MP แดงแปร๊ดดดด…. 555 ไม่มีกล้องโปรๆ ใช้กะใครเค้าหรอกค่ะคู้นนนน…)

 

 

page-492

 

ตอนเช้าก็ต้องออกไปอุ่นรถทิ้งไว้ซัก 10 นาที เพราะรถน้ำแข็งจับ พอเข้าไปในรถก็แทบหนาวตาย ยะเยือกมากๆ ขวดน้ำทิ้งไว้ในรถก็แข็งโป้กเป็นน้ำแข็งทั้งขวด จนบ่าย-เย็นก็ยังละลายไม่หมด ตกค่ำก็ทิ้งแข็งโป้กต่อไปอีก 5555 สนามหญ้า (เต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นมาเต็ม) ก็โดนน้ำแข็งเกาะหมด บน driveway ก็น้ำแข็งเกาะเพียบ เดินต้องระวังเดี๋ยวลื่นหัวฟาดพื้นตาย ช้าน…ตาย…ม่าย…ด้ายยยย….ลูกยังเล็กเฟ้ย แล้วถ้าหากหิมะตกแถบนี้จริงๆ จะเดือดร้อนกันมาก เพราะคนแถวนี้ไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตกับหิมะ ถนนหนทาง โซ่ใส่ล้อรถยนต์ก็ไม่มีกันทุกบ้าน บ้านอิชั้นไม่มีซักอัน 555 แค่ขับรถฝ่าทะเลหมอกให้รอดชีวิตไปตลอดซีซั่นก็โชคดีมากแล้ว หรือไม่ไปจอย pile-up ร้อยคันกับใครก็บุญอักโขมากเข้าไปอีก จำได้ว่าปีก่อนประกาศว่าจะมีหิมะ อิชั้นก็ตื่นตูมไปกะเค้า แจ้นไปซื้อสโนว์แจ๊คเก๊ตให้ลูก 5555 สรุปมันเป็นแค่ฝอยๆ ลอยมาตอนดึกๆ นิดหน่อยแล้วก็ละลายหายไป ไม่มีกี่คนนักหรอกที่ได้เห็น แต่บ้านผีปอปได้เห็นกะเค้าหนอยนึง 555 จริงๆ มันเคยมีหิมะตกแถบนี้เป็นระยะๆ 10-15 ปีก่อนโน้น เรียกว่าเดือดร้อนไปทั่ว คนแถวๆ นี้จะไปเล่นสกี กีฬาปุยหิมะทั้งหลาย ก็ขับรถขึ้นเขาไปซักชั่วโมงก็ถึงสกีรีสอร์ตแล้ว ส่วนอิชั้นคนยากก็จะพาลูกๆ ขับรถขึ้นเขาไปหน่อยนึง เจอข้างทางตรงไหนให้ลูกๆ เล่นตรงนั้น พอเล่นเป็นโคลนก็ขับรถหาที่ทำเลงามๆ หิมะหนาๆ เล่นกันใหม่ 5555 ฟรีค่ะ  เลอะเทอะกันพองามก็บึ่งกลับบ้านมาแช่น้ำอุ่นๆ สบายใจแฮ … มีแม่จนก็สนุกแบบนี้แหละค่าาาา…

 page-493

โชคดีที่แถวๆ นี้ไม่มีหิมะ ถึงจะหนาวไม่แพ้ใครก็เหอะ นึกไม่ออกเลยถ้ามีหิมะเหมือนที่เห็นตามข่าว หนัง หรือรูปต่างๆ อิช้านจะทำยังไง เพราะขี้เกียจทั้งผัวทั้งเมีย ต้องโกยหิมะเหมือนที่อื่นๆ ตายแน่ๆ สงสัยจำศีลเป็นหมีขั้วโลก ไม่ไปไหนแน่ๆ รวยตายเลย 5555 เพราะที่ที่เราอยู่เป็นแวลเล่ย์ หรือก้นกระทะนั่นเอง เป็นแอ่งเป็นอ่างใหญ่ยักษ์ ล้อมรอบด้วยเทือกเขา ด้านนึงเป็น Sierra Nevada (ด้านขวามือที่สีส้มๆ น้ำตาลๆ นั่นแหละ แคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยนิดหน่อยค่ะ) ส่วนไอ้ด้านริมทะเลเป็นเทือกเขาเล็กๆ น้อยๆ ต่อกัน เรียกอะไรไม่รู้ 5555 แต่อยากโชว์ว่าเราอยู่ในอ่าง 5555 ปกติพออากาศเริ่มเย็นๆ ปลาย Fall หรือประมาณปลายตุลา ต้นพฤศจิกา ไปจนถึงปลายๆ มกรา หรือ ต้นๆ กุมพาเลยทีเดียว ที่คนละแวกนี้ (กลางๆ แวลเล่ย์) ก็แย่แล้วกับการผจญหมอกนรก ที่เรียกว่าหมอกนรกเพราะมันนรกจริงๆ นะคะ เมืองในหมอก เมือกสามหมอก แม่ฮ่องสอน นั่นอนุบาลมากๆ ค่ะ (วันหลังมาเล่าเรื่องหมอกนรกดีกว่า 5555) หมอกมันหนามาก หนักมาก มีหลายแบบ เป็นกำแพงหนา เป็นหมอกแล้วมีละอองน้ำ mist เดินเปียกเหมือนตากฝนเลยแหละ ฯลฯ บางวันเค้าบอกว่าเป็น Low Cloud พัดผ่านเข้ามาจากทะเลและติดกับดักโดนเซียร่าเนวาด้ากันไว้ ไปไหนไม่ได้เลยนั่งอ้วนอยู่ในแวลเล่ย์ไม่ไปไหน อิชั้นก็เลยกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ใช้ชีวิตกลางม่านเมฆ 555 หน้าหนาวที่นี่ก็หนาวจนตับหดเลย พอหน้าร้อนไอ้ก้นกระทะก็ร้อนซะตับแหกเลยเหมือนกัน (อีเหมียนเอ้ย…. กะทะ หรือ กระทะ วะเนี่ย ช่วยที….5555)

california-map

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เค้ามีคริสต์มาสพาเหรดที่ดาวน์ทาวน์ สิ่งบันเทิงรื่นเริงใจแถวนี้ไม่มีอะไรมากมาย เพราะเป็นเมืองเล็กๆ พาเหรดแค่นี้ก็แห่ไปดูกันไปค่อนเมือง จากประสบการณ์ทุกๆ ปี ไปล่าช้าหน่อยก็ไม่มีที่จะแทรกเข้าไปนั่งหรือโผล่หัวเข้าไปดู ปีนี้ก็เลยรีบไปจับจองฟุตบาทแต่ไก่โห่ 5555 โห่จริงๆ เพราะไม่ได้เตรียมอะไรไปรองนั่ง ตูดเย็นเจี๊ยบเลย 5555 แล้วโห่ไปเร็วรอซะเซ็งเลย นั่งจนตูดชาได้ชั่วโมงครึ่งขบวนพาเหรดเค้าถึงได้เริ่มแห่มากัน ไอ้พวกเอาของเล่นไฟแล่บต่างๆ มาเดินเร่ขาย ก็ขยันเดินผ่านไปผ่านมาจริงๆ ลูกๆ ก็งอแงงี่เง่าอยากได้ อยากซื้อไปหมด แล้วแพงมาก แพงจนอุบาทว์ ไอ้หลอดๆ ที่หักแล้วเรืองแสงทำเป็นสร้อยคอนั่น เส้นละ 3 เหรียญ จะบ้าเหรอ ปกติ 3 เส้นเหรียญนึง เชี่ยเน๊าะ แล้วเดินจริ๊งงง… มากมายหลายเจ้าด้วยนะ อยากจะเอาเท้าไปขัดขาให้มันล้มป้าบบบบ…ตรงหน้าซะจริงๆ คืนนั้นก็หนาวเหน็บมากๆ ขอบอก ไอ้ตี้โดนแม่ห่อไว้ตามเคย ปล่อยให้เดินเพ่นพ่านไม่ไหว แม่มันไม่มีแรงวิ่งไล่ จับมัดไว้ให้เป็น Dr. Hannibal Lecter ตามระเบียบ (ไอ้หูมิกกี้สีฟ้านั่น 5 เหรียญเชียวนะคะ ป๋องแป๋งสุดเดชด้วย รอมมี่อยากได้ งี่เง่าให้แม่ซื้อ พอซื้อให้ดันไม่ใส่ซะนี่ อายเค้าค่ะ น่าตื้บมาลูกชั้น)

page-495

พาเหรดประดับไฟที่นี่มีแค่จิ๋วติ๋วจิ๊ดนึงแหละ หน่วยงานต่างๆ โรงเรียนก็พากันประดับตกแต่ง floats ตามประดามี น่ารักน่าเอ็นดูตามประสาเมืองเล็กๆ รถขยะ รถไปรษณีย์ แมงกะไซ ฯลฯ มากันเยอะแยะ บางอันก็แต่งซะสุดฝีมือ บางอันมีไฟหลากสีกระพริบมาแค่สายเดียว แบบอิรถไปรษณีย์ (ยังก๊ะโลงอนาถา 55555)

page-496

ถ่ายรูปไปได้ไม่เท่าไหร่กล้องก็แบตหมด อดเอารูปแปลกๆ มาอวด 555 ไม่มีอะไรแปลกหรอก ก็แค่วงโยธวาทิศของไฮสคูลประจำตำบลน่ะ เค้ามีไอ้พวกเด็กสาวรำธง เด็กๆ ที่เป่าปี่ตีกลองก็เอาไฟกระพริบหลากสีพันตัวเดินมาเป็นแถวน่ารักดี แต่พวกรำธงน่ะ ใส่เสื้อผ้ายืดกำมะหยี่รัดรูป บางคนก็สูงยาวระหง..น่ามอง บางคนก็อ้วนตุ๊บเป็นลอน..น่าเห็นใจ (คนอ้วนย่อมเข้าใจคนอ้วนสิ) วัสดุที่สวมใส่ก็ดูเย็นเยือก ดั๊นนน… เสือกไม่มีแขนอีก ครูบาอาจารย์นี่บ้าเน๊าะ สงสารเด็กๆ เพราะหนาวมากกกกกก…….

page-497

ดูไอ้แทรกเต้อร์ Harvester มโหฬารมากๆ ดูจากคนบนรถเทียบกับล้อ มหึมาจริงๆ อยู่แถวๆ นี้ได้เห็นพวกเครื่องจักรเครื่องยนตร์แปลกประหลาดบนท้องถนนหรือในทุ่งบ่อยๆ รูปร่างหน้าตาหลายๆ อย่าง ดูๆ ไปเหมือนอิชั้นอยู่ในซีนสตาร์วอร์ 5555 สรุปคืนนั้นก็พาลูกอยู่ดูจนจบ กลับบ้านแวะซื้อแม๊คโดเน่าให้ลูกกิน แล้วก็ไม่ลืมซื้อ “แม๊ค-ริบ” ให้ตัวเอง ตอนนี้ McDonald's brought back the McRib sandwich อิชั้นดีใจกว่าใครๆ เลยเชียว เพราะเป็นเมนูโปรดจากร้านพี่เน่าเค้า เมื่อปีกลายเจือกประกาศ McDonald's announced the 'Farewell Tour' of the McRib sandwich อิชั้นโมโหเป็นอย่างมากกกก….. 5555 ผู้คนเค้าก็ตังเว๊บไซ้ต์ให้คนช่วยกันเข้าไปโหวตไม่ให้แม๊คโดเน่ายกเลิกเมนูนี้ อิชั้นก็ไปโหวตก็เค้าอยู่พักนึง นานๆ ไปก็เงียบ พอเค้าเอากลับมาก็ดีใจซะ 5555 หนาวไปหนาวมา…. กลายเป็น McRib ได้ยังไง 5555 บายเด้อค่ะ

mcribisback

Thursday, December 03, 2009

Lady Mo - ท้าวสุรนารี (พ.ศ. ๒๓๖๙-พ.ศ.๒๓๙๔)

สืบเนื่องมาจากเคยถูกลูกและสามีถามเกี่ยวกับ “บ้านเกิด” ของอิชั้นหลายครั้งหลายหน แต่…เชื่อมั๊ย 555 อิชั้นตอบอะไรไม่ได้มากหรอก นอกจากอะไรนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับชิวิตวัยเด็กเล็ก บ้านช่องที่อยู่ การเล่นดื้อซน เรื่องถูกตีบ่อยๆ และที่ไม่เคยขาดคือ เรื่องเกี่ยวกับ “ย่าโม” พอคิดไปคิดมาเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะใช้วิชา “ทรงเดช” ที่มีเฉพาะตัว ลูกและสามีน่าจะได้อ่านได้รู้อินโฟที่ถูกต้อง ก็เลยใช้บริการของกูเกิ้ล แล้วก็เลือกมาแปะให้ได้อ่านกัน

เกริ่นนิดนึง … อิชั้นเกิดที่โคราช พ่อแม่ไม่ใช่คนโคราชแต่โคจรมาพบรัก แต่งงาน และวางไข่ที่โคราช 5555 พออายุได้ 10 ขวบ ก็ย้ายตามเด็ดพ่อไปทั่วราชอาณาจักรสยาม (พ่อเป็นข้าราชการค่ะ มิใช่ หัวหน้าวงดนตรี ลิเก หรือหมอลำ แต่อย่างใด 555) ต่างกับพี่สาวของอิชั้นที่พลาดการเดินสายคาราวานชีวิตแบบอิชั้น เพราะพี่หญิงใหญ่เธอถูก “ล๊อค-อัพ” อยู่ที่โรงเรียนประจำของชาวคุณหนูแถวๆ สะพานซังฮี้ 555 กว่าจะพ้นโทษออกมาก็เป็นสาวใหญ่แล้ว 555 แล้วตอนเด็กๆ อิชั้นก็ไม่ได้มีกิจกรรมวิสาสะกับใครๆ นัก ไปไหนไปกันก็กับครอบครัว พอย้ายออกจากโคราชเมื่อวัยเยาว์ ก็ขึ้นเหนือล่องใต้ไปหลายจังหวัด พอพ่อย้ายกลับมาประจำที่โคราชอีกครั้งอิชั้นก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่กุงเต๊บซะแล้ว เวลากลับบ้านทีก็ติดแหง่กกับที่บ้านอีก เพื่อนฝูงตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้จักมักจี่ จำชื่อได้ จำนามสกุลไม่ได้ จำหน้าค่าตาใครก็ไม่ได้ ไม่มีที่อยู่-เบอร์โทร ของเพื่อนๆ เหมือนเด็กสมัยนี้ โคราชก็เลยเป็นเพียงบ้านเกิดที่รักและผูกพันเท่านั้น แต่ก็ภูมิใจเสมอที่จะบอกใครๆ ว่าเป็น “ลูกย่าโม” จริงๆ ลึกๆ ก็รู้สึกละอายเล็กๆ ที่จะบอกว่า ไม่รู้ที่มาที่ไปประวัติของเมืองโคราชและย่าโมอย่างแท้จริง การค้นคว้าครั้งนี้นอกจากสนอง need ของลูกผัวแล้ว ก็เป็นการเก็บเกี่ยวความรู้ที่ควรรู้ (มานานแล้ว) ให้กับตัวเองด้วย เมื่อครั้งที่กลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เมืองไทยหลายปีก่อน ได้มีโอกาสพาลูกและสามีไปเที่ยวโคราช ทุกๆ คนดูสนุกสนาน ประทับใจ ได้ไปแวะ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ปราสาทหินพิมาย ไทรงาม ทุ่งสำริด มวกเหล็ก ปากช่อง ฯลฯ ลูกถามอะไร แม่ก็ตอบได้นิดเดียว 555 น่าอายเน๊าะ

จากการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ อ่านแล้วก็ อืม… รู้สึกดี พออ่านมาถึงข้อความที่ว่า “From the memoirs of Acharn Ladawan Wannabun (Jitasombat) former director of the Nakhonratchasima Elementary school, fifth generation grandchild of Thao Suranaree, who stated that her mother’s ancestry, who investigated her roots, stated that her ancestry can be traced back to a foster child of Thao Suranaree, as Thao Suranaree had no children of her own.” ก็ เอ่อ… ไม่เคยรู้เล้ยยยย… เป็นข้อมูลที่น่าสนใจยิ่งนัก เพราะอาจารย์ลดาวัลย์ วรรณบูลย์ อดีตผอ.โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา สมัยโน้น…. โรงเรียนชั้นประถมต้นจะไม่เรียกคุณครูว่าอาจารย์ คำว่า “คุณครู” นี่เพราะเน๊อะ พวกเรา (ครอบครัวของอิชั้น) เรียกท่านว่า ครูใหญ่ หรือ คุณครูลดาวัลย์ (สมัยโน้นอีกนั่นแหละ ตำแหน่งใหญ่สุดของโรงเรียนก็คือ ครูใหญ่ มิใช่ ผู้อำนายการ อย่างในปัจจุบัน) บ้านของเรา (ซึ่งเป็นบ้านหลวง) อยู่เยื้องๆ จากบ้านของท่าน จึงเรียกได้ว่าครอบครัวเราสนิทสนมกับท่านดีในระดับหนึ่ง ในความทรงจำของอิชั้น ท่านเป็นสตรีสูงวัย ใจดี ดิชั้นเป็นนางรำ ระบำ รำฟ้อนให้กับงานโรงเรียนเป็นประจำ ก็เลยต้องอยู่ซ้อมรำบ่อยๆ หลังเลือกเรียน เลยได้มีโอกาสได้นั่งรถประจำตำแหน่งของท่านกลับบ้านบ่อยๆ เช่นกัน โก้นะคะ…จะบอกให้ รถโฟล๊คตู้สีฟ้า แถมได้ไปมากับครูใหญ่ด้วย คุณครูสมัยโน้น…เป็นบุคคลที่ผู้คนนับหน้าถือตา เป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก พอได้ทราบว่าท่านเป็นเหลนทวดเจเนอเรชั่นที่ 5 ของย่าโม มันปลื้ม…ปลื้มใจดีค่ะ   

เริ่มเลยก็เพลงมาร์ชเมืองโคราชที่ได้ยินได้ฟังจนติดหูยังแต่เล็ก งึมๆ งำๆ ดำน้ำร้องตามเค้าได้ด้วยนะ แต่พอค้นเจอเนื้อเพลงจริงๆ 5555 อารายว้า…. งึมงำพึมพำมาผิดๆ ตลอดเลย อ่านเนื้อเพลงแล้วก็ “จับใจ” ดีแฮะ อิชั้นนี่เป็น “นักสู้-นักรบ” โดยสายเลือดด้วยนะ หากจะบอกว่า เด็ดพ่อของอิชั้นนั้น originally จาก “บางระจัน” เชียวนะ อย่า… อย่าชวนทะเลาะเชียว.. “ลูกอิสาน-หลานย่าโม + ทายาทชาวบ้านบางระจัน” เตือนไว้ตรงนี้เลย 555

เพลง มาร์ชนครราชสีมา


ราชสีมาเหมือนดังศิลาที่ก่อกำแพง

สยามจะเรืองกระเดื่องเดชแรง

ด้วยมีกำแพงคือราชสีมา

ชาวนครราชสีมาแต่โบราณ 

เหี้ยมฮึก กล้าหาญยิ่งหนักหนา

ศึกเสือเหนือใต้ที่ไหนมา

เลือดนครราชสีมา ไม่แพ้ใคร 

แต่ก่อนกาลวีระสตรี  

ท้าวสุรนารี ผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย  

มิ่งขวัญ ธงชัยของเมืองเรา

มาเถิดเราชาวนครราชสีมา  

หน้าเดิน รีบมาสู้กับเขา

หากศัตรูไม่เกรงข่มเหงเรา 

สู้เขา สู้กันอย่าพรั่นใจ

 

อย่าเสียเวลาเลย มาอ่านกันเลยดีกว่า (ที่คัดลอกมาจาก 3 เว๊บหลักๆ บางที่ข้อมูลซ้ำซ้อน ตัดต่อจากต้นฉบับเค้ามากๆ ก็ไม่ดี โปรดให้อภัยนะค๊าาา…)

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

แต่ก่อนกาลท่านวีรสตรี ท้าวสุรนารีผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา

ท้าวสุรนารีเดิมชื่อ โม หรือ โม้ ท่านเป็นบุคคลสำคัญประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครราชสีมาในฐานะผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมา จากกองทัพของเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙ คุณหญิงโม เกิดเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๕ ปีเถาะ ในแผ่นดิน พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี บิดามารดาชื่อนายกิ่ม นางบุญมา เมื่ออายุ ๒๕ ปี ได้เข้าพิธีสมรสกับเจ้าพระยามหิศราธิบดี (ทองคำ) ที่ปรึกษาราชการเมืองนครราชสีมา ครั้งยังดำรงฐานันดรศักดิ์เป็นพระยาสุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัยปลัดเมืองนครราชสีมา มีนิวาสถานอยู่ ณ บ้านตรงกับข้ามกับวัดพระนารายณ์มหาราช (วัดกลางนคร) ไปทางทิศใต้ ท่านไม่มีบุตรสืบตระกูล ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อเดือน ๕ ปีชวดพุทธศักราช ๒๓๙๕ รวมอายุได้ ๘๑ ปี

วีรกรรมของคุณหญิงโมนั้นเป็นที่คนไทยรุ่นหลังทราบดีว่า ท่านได้เป็นหัวหน้ารวบรวมครอบครัวชายหญิงชาวนครราชสีมา (ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย) เข้าต่อสู้ฆ่าฟันทหารลาวล้มตายเป็นอันมาก ณ ทุ่งสำริด แขวงเมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๓๖๙ ที่ช่วยให้ฝ่ายไทยสามารถกอบกู้เมืองนครราชสีมากลับคืนมาได้ในที่สุด

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

แต่ก่อนกาลท่านวีรสตรี ท้าวสุรนารีผู้เป็นใหญ่

กล้าหาญยอดยิ่งผู้หญิงไทย มิ่งขวัญธงชัยของเมืองเรา

 

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งาม สง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐ ปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารีและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ ท้าวสุรนารี ในโอกาสนี้ พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า ".... ท้าวสุรนารี เป็นผู้ที่เสียสละ เพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัยควรที่อนุชนรุ่นหลัง จะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้อง สามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการความเรียบร้อย ความสงบ เป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลกจะผันผวน และล่อแหลมมากแต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกัน ชาติก็จะมั่นคง...."

ข้อมูลอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีเพิ่มเติม

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี
อนุสาวรีย์ท่านท้าวสุรนารี หรือ คุณหญิงโม [ย่าโม]

สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2477 ตั้งอยู่หน้าประตูชุมพล ซึ่งเป็นประตูเมืองเก่าทางด้านทิศตะวันตก อนุสาวรีย์เป็นรูปหล่อทองแดง รมดำ สูง1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม ประดิษฐานอยู่บนไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง สูง 2.5 เมตร รูปหล่อท่านท้าวสุรนารี ตัดผมทรง ดอกกระทุ่ม แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กรุงเทพฯ อนุสาวรีย์นี้เป็นที่เคารพสักการะ ของชาวจังหวัดนครราชสีมา และประชาชนทั่วไป

ชาวนครราชสีมา จัดให้มี งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท่านท้าวสุรนารี เป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม-3 เมษายน

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

ท้าวสุรนารี นามเดิม คุณหญิงโม เป็นธิดา นายกิ่ม นางบุญมา เกิดเมื่อพ.ศ.2314 สมรสกับพระยาปลัดเมืองนครราชสีมา(ทองคำ) ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง เป็น พระยามหิศราธิบดี

ในปี พ.ศ.2369 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าอนุวงศ์บุตรเจ้าศิริบุญสาร ผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้างและเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยต้องการเป็นเอกราช จึงเป็นกบฏยกทัพจะมาตีกรุงเทพฯ เจ้าอนุวงศ์ใช้อุบายหลอกลวงเจ้าเมืองตามรายทาง โดยปลอม ท้องตราพระราชสีห์ ว่า ไทยขอให้เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาช่วยรบกับอังกฤษ ซึ่งยกทัพเรือจะมาตีกรุงเทพๆ จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านและ มีความอุดมสมบูรณ์ ในขณะที่เจ้าพระยามหานครราชสีมา ไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ กองทัพเจ้าอนุวงศ์มาถึง จึงเข้ายึดเมือง ยึดทรัพย์สินและให้เพี้ยรามพิชัย หรือพระยารามพิชัย กวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยศึก เดินทางกลับไปเวียงจันทร์ก่อน ส่วนเจ้าอนุวงศ์เดินทัพต่อไปยังสระบุรีเพื่อเข้ากรุงเทพฯ

ในบรรดาเชลยศึกมีคุณหญิงโมรวมอยู่ด้วย คุณหญิงโม เป็นหญิงที่ฉลาดหลักแหลมรู้ทันว่า เจ้าอนุวงศ์หลอกลวง คุณหญิงโมออกอุบายให้ทหารเวียงจันทร์ ตายใจ โดยให้หญิงไทยที่ถูกต้อนเป็นเชลยยั่วยวน หน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง วางแผนให้พวกผู้หญิง หลอกขอมีด จอบ เสียม มาใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำมีด จอบ เสียมนั้นมาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้

ระหว่างพักที่ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงพิมาย ซึ่งห่างจากตัวเมืองนครราชสีมา ประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2369 สบโอกาสเหมาะ พวกผู้หญิง ช่วยกัน หลอกล่อ มอมเหล้าทหารจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ แล้วช่วยกันทั้งหญิงและชายแย่งอาวุธฆ่าฟัน จนทหารล้มตายเป็นจำนวนมาก กองทัพแตกพ่ายไป เมื่อได้รับชัยชนะแล้ว จึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวเมืองที่หนีรู้ข่าวการชนะศึก จึงพากันกลับมาสมทบ และพระยาปลัดก็ยกทัพตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่ากรุงเทพๆ ยกทัพขึ้นมาช่วย จึงเลิกทัพกลับไปเวียงจันทร์

วีรกรรมที่คุณหญิงโม ได้ประกอบขึ้นที่ทุ่งสัมฤทธิ์ครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สถาปนาคุณหญิงโม ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์ เป็นท้าวสุรนารี และพระราชทานเครื่องยศทองคำประดับเกียรติ ดังนี้

  • ถาดทองคำใส่เชี่ยนหมาก ๑ ใบ
  • จอกหมากทองคำ ๑ คู่
  • ตลับทองคำ ๓ เถา
  • เต้าปูนทองคำ ๑ อัน
  • คณโฑทองคำ ๑ ใบ
  • ขันน้ำทองคำ ๑ ใบ

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

ท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ พ.ศ.2395 รวมสิริอายุ 81 ปี

อนุสาวรีย์ของท่านประดิษฐานอยู่ที่หน้าประตูชุมพล ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ และได้บูรณะใหม่ให้งามสง่ายิ่งขึ้นเมื่อ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๑๐

417px-เสด็จพระราชดำเนิน_อนุสาวรีย์

เหตุการณ์ที่สมควรจะบันทึกไว้ในปี พุทธศักราช ๒๕๒๔ คือเมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ ทรงวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ท่ามกลางพสกนิกร ที่เข้าเฝ้าถวายความจงรักภักดีอย่างเนื่องแน่น ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานบรมราโชวาทมีความตอนหนึ่งว่า

....ท้าวสุรนารีเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อให้ประเทศชาติได้อยู่รอดปลอดภัย ควรที่อนุชนรุ่นหลังจะได้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน บ้านเมืองทุกวันนี้เป็นสิ่งที่ต้องหวงแหน การหวงแหน คือ ต้องสามัคคี รู้จักหน้าที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ชาวนครราชสีมา ได้แสดงพลังต้องการ ความเรียบร้อยความสงบเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ชาติกลับปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าสถานการณ์รอบตัวเราและรอบโลก จะผันผวนและ ล่อแหลมมาก แต่ถ้าทุกคนเข้มแข็ง สามัคคี กล้าหาญ และเอื้อเฟื้อต่อกันชาติก็จะมั่นคง....

ขอขอบคุณ > > http://www.moohin.com/043/043k001.shtml

อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี

เมื่อท้าวสุรนารี ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปีพุทธศักราช 2395 อายุ 81 ปี เจ้าพระยามหิศราธิบดีผู้เป็นสวามี ได้ฌาปนกิจศพ และสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้ ณ วัดศาลาลอยซึ่งท้าวสุรนารีได้สร้างไว้


กู่อัฐิท้าวสุรนารี - วัดพระนารายณ์มหาราช

กู่อัฐิท้าวสุรนารี

วัดพระนารายณ์มหาราชเมื่อเวลาผ่านไปเจดีย์ชำรุดลง พลตรีเจ้าพระยาสิงหเสนี (สอาด สิงหเสนี) ครั้นเมื่อยังเป็น พระยาประสิทธิศัลการ ข้าหลวงเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา องคมนตรี และรัฐมนตรี ได้บริจาคทรัพย์สร้างกู่ขนาดเล็ก บรรจุพระอัฐิท้าวสุรนารีขี้นใหม่ที่วัดกลาง (วัดพระนารายณ์มหาราช) สร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ร.ศ.118 (พ.ศ. 2442)

ต่อมากู่นั้นได้ทรุดโทรมลงมาอีก อีกทั้งยังอยู่ในที่แคบ ไม่สมเกียรติ พระยากำธรพายัพทิศ (ดิส อินทรโสฬส) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายพันเอกพระเริงรุกปัจจามิตร (ทอง รักสงบ) ผู้บังคับการมณฑลทหารบกที่ 5 พร้อมด้วยข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมา ได้พร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีด้วยสัมฤทธิ์ ซึ่งทางกรมศิลปากรได้มอบให้ ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ออกแบบร่วมกับ พระเทวาภินิมมิตร (ฉาย เทียมศิลปไชย) ประติมากรเลื่องชื่อในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม


พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี บนฐานอนุสาวรีย์ใหม่ ปี พ.ศ. 2510

พิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีบนฐานอนุสาวรีย์ใหม่

ปี พ.ศ. 2510 ทั้งนี้ได้อัญเชิญอัฐิของท่านนำมาบรรจุไว้ที่ฐานรองรับ และประดิษฐานไว้ ณ ที่หน้าประตูชุมพล อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ สูง 1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม ตั้งอยู่บนฐานไพที สี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองซึ่งบรรจุอัฐิของท่าน แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน ในท่ายืน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ตั้งของกรุงเทพมหานคร นับเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชนสตรี คนแรกของประเทศ เริ่มก่อสร้างในปี 2476 แล้วเสร็จ และ มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2477

ในงานพิธีเปิดนี้ จึงได้มีการสร้างเหรียญไว้เป็นที่ระลึก โดยมี สมเด็จมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระคณาจารย์สายพระอาจารย์มั่น - พระอาจารย์เสาร์ ร่วมพิธีปลุกเสกที่ วัดสุทธจินดา ชาวเมืองนครราชสีมารัก และหวงแหนเหรียญรุ่นนี้กันมาก เพราะถือกันว่านี่คือ เหรียญแห่งชัยชนะ เพื่อศรีสง่าแห่งบ้านเมือง และเชิดชูเกียรติ ท้าวสุรนารี วีรสตรีไทยตลอดกาล และทางกรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นโบราณสถานวัตถุแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2480

ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 ฐานอนุสาวรีย์ชำรุด ข้าราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมา โดยนายสวัสดิวงศ์ ปฏิทัศน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น เป็นประธาน ได้ร่วมใจกันสร้าง ฐานอนุสาวรีย์บรรจุอัฐิท้าวสุรนารี ขึ้นใหม่ ณ ที่เดิม เพื่อให้เป็นศรีสง่าแก่บ้านเมือง และเชิดชูเกียรติท้าวสุรนารี วีรสตรีไทยตลอดกาลนาน แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510


เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด พ.ศ. 2477 (ด้านหน้า)เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด

เหรียญที่ระลึกในงานพิธีเปิด พ.ศ. 2477 (ด้านหลัง)

ทางจังหวัดนครราชสีมา หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนชาวนครราชสีมา ได้การจัด งานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี (คุณหญิงโม) เป็นงานประจำปีของจังหวัด เพื่อเป็นการเคารพสักการะ เชิดชูเกียรติ ในวีรกรรมของท้าวสุรนารี และเหล่าบรรพบุรุษของชาวนครราชสีมา จัดขึ้นบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด กำหนดจัดระหว่างวันที่ 23 มีนาคม - 3 เมษายน ของทุกปี

ที่มา......จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

ขอขอบคุณ > > http://www.kaweeclub.com/16/2552%28%29/

 

Lady Mo History

An unofficial translaton by the Korat Post from material provided by the former governor's administration.

Translation of Thao Suranaree Biographical History
Thai Versions Provided by Nakhonratchasima Provincial Governor’s Office
August 25, 2004 & lost by the new incoming Administration who has remained silent about what happened to it.

English translation requested by October 25, 2004
Note: This is an unofficial translation, provided for informational purposes.

Section 1

Thao Suranaree, whose original name was Mo, was born in BE 2314. Her father’s name was Mr. Kim, her mother’s name was Mrs. Boonma. Thao Suranaree was a native of Nakhonratchasima by birth, and lived across from a temple in the heart of Nakhonratchasima (Wat Phranaraimaharat). In the year BE 2339, at age 25, Mo married Mr. Thongkham, of the provincial political affairs office. Subsequently Mr. Thongkham changed position to become the Nakhonratchasima city secretary of political affairs. It was a position considered to be equivalent to the rank of a noble. The people of Nakhonratchasima preferred to address him as ----- but he ---- and said to use “Phrayapalat.” The people called his wife Mo, then later Mae, and then finally Mae Mo. Currently she is called by the name Ya Mo, or Khun Ya, but the most popular name is Ya Mo.

Khun Ying Mo was a person of high intelligence. She also was an accomplished rider of both elephants and horses. Her favorite horse was black. Khun Ying Mo was a faithful follower of Buddhism, and liked taking her children and nephews and nieces to Wat Sakaew and Wat Isan regularly.

Section 2

Heroic Deeds of Khun Ying Mo

In BE 2369, Prince Anuwongseof Vientiene revolted and ledan army to seize Nakhonratchasima. At that time, Phrayasuriyadej was away on business to Khukhan, leaving behind only minor officials of the political affairs department. The Vientiene troops easily entered and seized Nakhonratchasima, overrunning the small number of defenders, including Khun Ying Mo, and herding them together to march back to Vientiene.

Khun Ying Mo sagaciously instilled morale and heart in the captive people of Nakhonratchasima . She did everything to make the Lao soldiers sympathetic to their Thai captives. She also found ways to delay the journey, such as claiming that captives were sick or that a cart had broken and needed repair. She was also holding secret talks. She asked [her captors] for axes to repair ‘broken’ carts, or to cut brush for firewood, etc., in order that the captives would have these tools when needed. Khun Ying Mo ordered that wood sticks be gathered and sharpened with axes, and that hoes be used as well in place of weapons [when the time arrived].

Upon reaching Thungsamrit, Khun Ying Mo, with a strategy in mind, asked her captors to allow the marchers to rest so that their sore muscles could recover from the long journey, and the Lao commanders allowed this. After setting up camp at Thunsamrit, Phrayahrom, Phrayapalat and Khun Ying Mo commanded that a group of young women lure the Lao soldiers outside the camp. Cooks remained in camp. At this time, male cooks separated into groups with a number of weapons. Junior political affairs department staff took the left and right flanks. Phrayapalat acted as commander of the main force. Khun Ying Mo acted as head of a group of skilled women in a reserve force. After some time passed, all those who had prepared rushed together at the same time, shouting and cheering, chopping at the Lao soldiers and scattering them in confusion. The Lao soldiers had no idea of the impending attack, and fell and died or scattered away. Thus the following verse was authored to honor the people of Nakhonratchasima, by Phraya Upakitsin:

In sudden rush, jabbing quickly
Men leading and women in reserve
Men charging and women pushing forward,
Together confronting, spreading
Women of stout heart --- Lao soldiers

Without spears they used axes,
Without swords they used sticks and clubs big and long,
They struck and lashed, annihilating the Lao soldiers
A stampede in the border jungle.

Verse Honoring the People of Nakhonratchasima

Section 3

After the battle was over, His Majesty the King conferred the title of Thao Suranaree on Khun Ying Mo, as well as conferring the further title of …. On Phrayapalat.

Six years after the battle had ended, in the year B.E. 2375, Thao Suranaree and Phrayapalat produced a book and presented it to Wat Isan as a way of commemorating the event. The book that was presented to the temple was titled, ….. made out of 20 palm leaves, written in Khmer and Bali and Thai script and with a vermillion design on gold leaf. Currently this ancient document is retained in the Nakhonratchasima Chalermphrakieti National Library. Head of the library’s documents section Mr. Somchai Faksuwan stated that Wat Isan donated the document to the National Library, and that there is clearly legible writing that reads Phayapalat Khun Ying Mo, produced upon the passing of the king, in B.E. 2375, Pii Marong….

When Thao Suranaree passed away n B.E. 2395 at age 71, her surviving husband Chaophrayamahisarathibodee enshrined her remains in a chedi he built at Wat Salaloi.

Section 4

Residence of Thao Suranaree: Testimony from foster children

From the memoirs of Acharn Ladawan Wannabun (Jitasombat) former director of the Nakhonratchasima Elementary school, fifth generation grandchild of Thao Suranaree, who stated that her mother’s ancestry, who investigated her roots, stated that her ancestry can be traced back to a foster child of Thao Suranaree, as Thao Suranaree had no children of her own. Thao Suranaree therefore took in a niece, by the name of Boonma, to raise as her own child. Boonma had one child, Nang Nuu Uan, who in turn married Phraphichaisongkranpol. They had one child, named Luang Sathonsapkit (Ud Chatawaraha), who married Mrs. Jaem. They had six children, as follows:

1. Mrs. Lukjan (Chatawaraha) who married Luang Rachathura (Inthornkamhaeng)
2. Mrs. Tongmee (Chatawaraha) who married Khunwannawutwijarn (Tongpaan Jitasombat)
3. Mr. Sorn Chatawaraha who married Mrs. Tongjeu maiden name Prayong
4. Mr. Sangiem Chatawaraha who married Mrs. Num
5. Mrs. Cheuyn (Chatawaraha) who married Luangphraphannittisart (Kree Sornsing)
6. Mr. Thanom Chatawaraha who married Mrs.Liap maiden name Maenaruj and Mrs. Tongkham. Mrs. Tongkham had the second child of Luangphraphannittisart who married Khunwannawutwijarn (Tongpaan Jitasombat) and they had six children, as follows:

1. Mr. Niphol Jitasombat, who married Mrs. Sri; they had one child.
2. Mrs. Jaras Maneesuwan, who married Mr. Anand Maneesuwan; they had three children.
3. Mr. Charoen Jitasombat
4. Mrs. Ladawan Wannabun who married veterinarian Suwn Wannabun – they had no children.
5. Miss Aree Jitasombat
6. N.A. Wijit Jitasombat who married Mrs. Uthaiwan – they had three children.

Acharn Ladawan Wannaboon wrote that she was raised by her aunt Jaem Chatawaraha because her mother had to travel with her father who traveled from province to province in government service. As she was being raised, her aunt told her details of Thao Suranaree, as follows…

Section 5

The residence of Thao Suranaree was the area and home where Luangphraphannittisart and Aunt Jaem lived, and which fell into the hands of the fifth generation descendents who now live in it. Originally the north property line was next to Wat Phranaraimaharat (Wat Klang). It was an area next to the wat pond where there was a betel garden for eating betel nut. Later authorities requested the property to build a market. It was called Phranarai Market. The reason that it was thus named was a Phranarai shrine standing, and later when Chompol Road had to be cut, land belonging to Khun Ying Mo – the north side which bordered the road, the southern side which bordered Mahadthai Road, the each which bordered a public way, and the west side which bordered private property. There were 7.1.57 rai total. According to the property deed issued to Luang Sathonsanprakit , son of Phraphichai Songkramphol and Mrs. Nuu Uan Phichaisongkramphol, in the property there was an earthen home, behind which was a well (the well is still there). The southern side adjacent to Mahadthai Road had a large pond named Maew Pond (now filled in), where Khun Ying Mo and her children/grandchildren celebrated Songkran.

Gold insignia of rank graciously conferred were cited as follows:

One gold tray for betel nuts
One gold betel cup
Three gold boxes vine design
Gold water pot
Gold basin
Betel envelop

Royal decorations received are as follows:

Gold hemmed sarong
Gold lined blouse
Sash blanket (sort of a shawl)
Gold lined breast cloth

Luang Sathonsappakit (Ud Chatawaraha) was a descendent who inherited the land, insignia and decorations. Aunt Jaem also willed separate items to Acharn Ladawan Warrabun and N.A. Wijin Jitasombat, comprising one gold tray, a set of two betel cups, three vine design inlaid gold boxes, one gold vine design inlaid envelop. N.A. Wijin Jitasombat received one gold water bowl, an assortment of decorations from the fourth great-grandchild named Chalaem, said to have seen a monk take the material and cut it into a bag which later became dilapidated.

Section 6

Construction of the Thao Suranaree Army Monument

The individual who sculpted the statue was named Mrs. Nim, wife of Phra Bunkhamborinak – whose name was also that of a four-way intersection, southerly one down from Lak Muang. It was called Bunkham Intersection, since his home was in the area. Those who were able to substantiate so stated that Mrs. Nim was the model for another statue of Thao Suranaree victory Monument, Miss Benjang Intsol. The reason for using Mrs. Nim as the model may have been because it was desired to have the statue with the image of a woman of Korat with [characteristics described] by her children who passed them up through Mo’s grandfather. As well, the craftsman’ skill was so as to have the statue appropriate to that of a heroine.

When Thao Suranaree died in BE 2395 (AD 1852), Chao Phraya Mahismathipodi had the body cremated and then built a chedi and placed the bones in it was Wat Sala Loi. Subsequently, Wat Salao Loi became dilapidated and lie in waste. Col? Phraya Sungsaenee, when at the time carrying the rank and title of Phraya Prasitisankul, retired form government service as Nakonratchasima provincial governor and built a temple at the former of Wat Pharanarai Maharat, NW, then ‘invited’ the mortuary urn of Thao Suranaree to be established there in BE 2443 (RS 117). Later, Phraya Kamtorn Phayaphit (Dis Intasolos?) and P.O.? Phrarerng Rukpatjamitr (Thong Rak Sanjob) considered and saw that the urn of Lady Mo bones at Wat Phranarai Maharat was decomposing, so they sought another appropriate place, that is, in the area of Chompol Gate. After installing the victory Monument, Thao Suranaree’s bones were placed in the monument foundation in BE 2488?. Since BE 2510, the monument’s foundation was raised. Mr. Sorn Chatasuaisha?, who was the fourth great—great grandchild, asked to be given some of Thao Suranaree’s bones, from the Nakhonratchasima provincial governor, to enshrine them n the chedi east of an old Buddhist chapel at Wat Salaloi. Currently Thao Suranaree’s bones are at Wal Salaloi and are paid constant respect by the people.

Section 7

Thao Suranaree and People’s Beliefs

People’s beliefs are acceptance of something existing in one’s consciousness, from a supernatural power that are either good or bad for the individual. Even though these supernatural beliefs may not be able to be proven true, people in society accept them and give respect, stand in awe, praise, prostrate in worship and entreat. Groups or people thus prostrate, such as to pray to heaven to enable oneself to share some of that supernatural power, giving rise to love, to pity, not being angry or not to do harm, as well as to gain some benefit. There are two levels of belief; that is, a part of religion that is a belief with a reason, that is able to explain what one is uncertain of - that is a guide including a guide for life. The second level of belief is local beliefs, that is, when investigated, are found to be practiced according to tradition. In regard to Thao Suranaree, the general public has the latter belief.

Thao Suranaree is a great heroine. Her bravery and ability, restraint, sacrifice for her nation was an inspiration at Tung Samrit. Her bravery is the pride of the people of Nakhonratchasima. This pride and impression makes her almost a family heroine. Thus the people of Korat are partly her children, partly her grandchildren, and have a connection with Thao Suranaree that is one of trust and fond memory. Therefore, when passing Thao Suranaree’s monument, everyone will wai in request for a blessing from her automatically. She is thus truly an important person belonging to all of the people.

Section 8

Thao Suranaree is a sacred and precious spirit of Nakhonratchasima, caring for, shielding, protecting, monitoring..so that her children and grandchildren will have happiness, progress, enjoy success, even if they are not native Koratians, she will give good luck to them as well.

With the installation of the Thao Suranaree monument in BE 2477? (1934) ceremonies were held commemorating, offering sacrifice, to her spirit in Heaven and devotion offerings, whereby it was decided that 23 March would be the official date of celebrating victory over the Vientiene enemy, and it has been so up to the present. These ceremonies changed ThaoSuranaree from being an ordinary person to being a saint. That the government and the people have incorporated these ceremonies has changed Thao Suranaree into a figure of worship, of prayer, giving success hoped for. As well, there is the redeeming of vows to her spirit through Phaleng Korat (the Korat Song), whereas the Korat Song has never diminished from the area of the Thao Suranaree victory monument.

The ceremony of Thao Suranaree’s sacrifice on 23 March 2477, is both a Buddhist and a Brahmin one. In regard to the Brahmin part, a sacred command is read. Part of it speaks of inviting her spirit to visit so that her children and grandchildren can offer sacrifices, and for her to receive these sacrifices. As well, she is called “Phra Mae Thaan,” which is a title of high esteem whereas [she is seen] as a guardian spirit, one [indicated in] the sacred command, “… upon the occasion where government officials, merchants, and the people have happiness, e jubilant, elated and inspired, rejoicing in devotion, joining to build her victory monument…to increase devotion to the fullest, as well as her prestige, and thus ask her to appear during the ceremony so that here descendents can offer sacrifices and pay respects. She is invited to visit and receive delicious food to enjoy, which includes swine head, auspicious rice, papaya salad, duck, chicken, shrimp and fish, minced fish and fruit, chow-chow, oiy bananas, as well as sweets – tomdaeng, tomkhao, as well as liquor, inviting her, Phra Mae Thaan, to visit andeat, and when she is finished eating the meal, to invoke a blessing that all of her descendents may continually receive more than ample possessions, be safe and devoid of disease that would disturb them, to experience happiness, prosperity, stability, many accomplishments, to live to a long life..”(Public Record 2540:90) whereby the ceremonies in offering respect to Thao Suranaree have become an annual event. Currently it causes those who take part in the ceremonies to believe that Thao Suranaree has the standing of a guardian saint that visits the Thao Suranaree victory monument in waiting to help, guard and oversee the city and the people so that they live in happiness, safety and are free from all harm.

Section 9

Ya Mo’s power always manifests itself to government officials and to the general public. For example, Mr. Damrong Ratanaphanich, while he was serving as governor of Nakhonratchasima,said that “The top of the Moon River Dam was about to collapse on 24 October 2533 (AD 1940). I asked Lady Mo for assistance in prevailing against the water so that the dam would not collapse. I asked fleeing villagers to seek higher ground, but then the dam did not collapse. I swear that it was a miracle of Thao Suranaree’s (or Lady Mo’s) spirit. Say that it was deep belief n Ya Mo.
There was an experience that should be written down and remembered: that is in 2529 (AD 1936), when I was serving as serving as provincial governor for Nakhonratchasima, I was on my way to accept a new post in the Justice Department in Bangkok. My wife Sritong had asked Ya Mo, please have me return to live in Korat (Nakhonratchasima Chamber of Commerce, 2534:3). That power [of Thao Suranaree] led to medals and figures to be made in her likeness, such as that the Chamber of Commerce has made in celebration of its tenth anniversary in 2534 (AD 1991). The medal ceremony was presided over by his Holiness the Supreme Patriarch Phrayansangworn. Suranaree Wittaya school made statues of Thao Suranaree 70 and 30 centimeters tall, as well as making gold plated medals, upon the occasion of the 75th anniversary of the school on BE 2543 (AD 2000).

Section 10

Thao Suranaree and The Korat Song

The Korat Song is a local song. It is only vocal with no instruments used. It is an extemporaneous format song with quick interchanges between men and women where they say that Thao Suranaree likes the Korat Song a great deal, that if anyone supplicants Thao Suranaree for a blessing, they will be able to receive one with the Korat Song. She is thus seen as one who injects breath into the Korat Song so that it lives on.

The figure of Thao Suranaree is a symbol of Nakhonratchasima. To install the Thao Suranaree foundation in 2577 (AD ), the citizens of Nakhonratchasima played a part in donating copper coins, each costing one sating [one Baht has 100 satangs) to be accumulated to cast the statue. Thus Nakhonratchasima province used the statue as a provincial symbol. In addition, there were also government officials and shop merchants - who brought the name and symbol in part of their names in worship with the belief that this would bring good luck – such as Suranaree Wittaya School, Suranaree Ice House, Suranaree Printing Company, Suranaree SarnSport Company, Ltd. as a few examples. In addition, the name and symbol appears on various products, such as in those produced that are connected with matters of the heart, that are able to communicate and cause understanding.

Thao Suranaree resides in memory, praise, great esteem, and worship of the people of Nakhonratchasima, because she is a brave heroine. Even though she is a woman, she was able to use her mind and her hands to solve the land’s crisis. She is thus a heart-rallying symbol for the people of Korat and of the nation.


A photo of Thao Suranaree (Lady Mo), taken from Klang Plaza Department Store.
Photo by the Korat Post.

The procedure is simple.

1. Proceed to the garland and bouquet vendors to the left side of the Lady Mo statue.

2. The vendors are used to people walking up so know what you need. But if you can speak any Thai, or even English, it's nice!

3. As of 31 March 2004, we were quoted a figure of 20 Baht for the garland (two garlands are available - a small one, or a larger one with a ribbon), and another 20 Baht for the lotus bouquet. You may be able to bargain, but maybe not. The total cost - 40 Baht - is slightly over $1 U.S. You don't need to buy both garlands, but if you do, the cost will be 60 Baht rather than 40 total.

4. The lotus bouquet consists of three joss sticks, a candle, a small gold leaf between two thin pieces of paper, and a lotus flower.

5. After making your purchases, proceed to the Lady Mo (Thao Suranaree) statue, removing your shoes either at the bottom of the stairs or if you prefer, up at the top just before approaching the statue.

6. Kneel in front of Thao Suranaree statue, and with the lotus bouquet between your hands, 'wai' with your hands even with the bottom of your nose, and dip your head slightly downward. During this 'wai,' you may make a wish if you choose, or ask for a blessing or special consideration for yourself, a family member or friend, group, etc. Alternatively, if you do not choose to make a wish, merely conclude the 'wai' and then stand.

7. Place the garland at or around/near the feet/base of the Lady Mo statue. 'Wai" once more if you wish.

8. Light the candle, generally by using one of the other burning candles that have already been placed. Use the flame from the candle to light the three joss sticks. When they are lit, you may wish to extinguish the open flame with a quick waving of the sticks. It is not considered appropriate to blow the flame out.

9. Place the candle nearby the others, and then place the joss sticks in the receptical with the others. You can then 'wai' once more.

10. Place the gold leaf over the bust of Lady Mo. You will notice it nearby, covered with gold leaf. The gold leaf is rather sticky to fingers. The best way to place the leaf is to remove one side of the protecting paper, and then press the gold leave over the surface of the bust, and vigorously press on the backside of the remaining paper until the leaf sticks.

11. If you wish, 'wai' once more, then you may leave.

12. If you wish, you can also 'wai' once more in front of Lady Mo where you first began the ceremony.

That's about it. There are a lot of photographers about. They advertise in Thai that photos cost 10 Baht each. You are, of course, free to take your own photos.

Thanks > > http://www.thekoratpost.com/ladymo.html